ขายในไทย ลงประกาศฟรี โพสฟรี

หมวดหมู่ทั่วไป => เว็บลงโฆษณาฟรี ประกาศขายสินค้าออนไลน์ ซื้อขายแลกเปลี่ยน => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2025, 15:47:33 น.

หัวข้อ: หมอประจำบ้าน: ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2025, 15:47:33 น.
หมอประจำบ้าน: ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) (https://doctorathome.com/)

ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) เป็นภาวะที่ไส้ติ่งซึ่งเป็นอวัยวะเล็กๆ รูปทรงคล้ายนิ้วมือที่ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ส่วนต้น เกิดการอักเสบและติดเชื้อ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยและจัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย

ไส้ติ่งคืออะไร?
ไส้ติ่งเป็นอวัยวะขนาดเล็ก ยาวประมาณ 2-4 นิ้ว ยื่นออกมาจากส่วนต้นของลำไส้ใหญ่ ที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา แม้จะทราบตำแหน่ง แต่หน้าที่ที่ชัดเจนของไส้ติ่งในมนุษย์ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้

สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ
ไส้ติ่งอักเสบมักเกิดจากการ อุดตันของไส้ติ่ง ทำให้ไม่มีการระบายถ่ายเทของของเหลวและเมือกที่ผลิตอยู่ในไส้ติ่ง เมื่อเกิดการอุดตัน แบคทีเรียที่ปกติอาศัยอยู่ในลำไส้จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อภายในไส้ติ่ง ความดันภายในไส้ติ่งที่เพิ่มขึ้นจากการบวมและอักเสบจะไปกดเบียดหลอดเลือดที่มาเลี้ยงไส้ติ่ง ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และนำไปสู่การขาดเลือด เน่าตาย และอาจแตกทะลุได้

สาเหตุของการอุดตันที่พบบ่อย ได้แก่:

เศษอุจจาระแข็งตัว (Fecalith): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
สิ่งแปลกปลอม: เช่น เศษอาหารขนาดเล็ก เมล็ดพืชเล็กๆ (แต่เม็ดฝรั่งไม่ได้ทำให้ไส้ติ่งอักเสบโดยตรง)
พยาธิในลำไส้: เช่น พยาธิไส้เดือน
ต่อมน้ำเหลืองบริเวณไส้ติ่งบวม: จากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียอื่นๆ ในทางเดินอาหาร
เนื้องอกหรือมะเร็ง: ที่บริเวณไส้ติ่งหรือลำไส้ใหญ่ใกล้เคียง (พบน้อย)

อาการของไส้ติ่งอักเสบ
อาการไส้ติ่งอักเสบมักจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา โดยอาการที่พบบ่อยและควรสังเกตมีดังนี้:

ปวดท้อง:
เริ่มต้น: มักจะเริ่มปวดรอบๆ สะดือ หรือบริเวณกลางท้อง อาการปวดมักจะบอกตำแหน่งไม่ชัดเจนในระยะแรก
ต่อมา: ภายในไม่กี่ชั่วโมง (ประมาณ 4-24 ชั่วโมง) อาการปวดจะ ย้ายตำแหน่งมาที่ท้องน้อยด้านขวา อย่างชัดเจน และจะปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
ลักษณะการปวด: เป็นการปวดแบบเสียดๆ ตื้อๆ หรือปวดบีบๆ และจะปวดมากขึ้นเมื่อไอ จาม เคลื่อนไหวร่างกาย หรือมีการกดและปล่อยมือบริเวณท้องน้อยด้านขวา
เบื่ออาหาร: เป็นอาการที่พบบ่อย มักเกิดขึ้นพร้อมกับอาการปวดท้อง
คลื่นไส้และอาเจียน: อาจมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนตามมาหลังจากปวดท้อง
มีไข้: มักมีไข้ต่ำๆ (ประมาณ 37.5 - 38.5 องศาเซลเซียส) แต่หากไส้ติ่งแตก อาจมีไข้สูงขึ้น
ท้องผูกหรือท้องเสีย: อาจมีอาการท้องผูก หรือบางรายอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้สับสนกับโรคทางเดินอาหารอื่นๆ
ท้องอืด หรือรู้สึกแน่นท้อง
ปัสสาวะบ่อย: ในบางกรณีที่ไส้ติ่งอยู่ใกล้กระเพาะปัสสาวะ อาจมีการระคายเคืองและปัสสาวะบ่อยขึ้น
ข้อควรระวัง: อาการปวดท้องอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้สูงอายุ ซึ่งบางรายอาการอาจไม่ชัดเจน หรือตำแหน่งการปวดอาจไม่ตรงตามปกติ

การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบโดย:

การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะสอบถามอาการอย่างละเอียด และตรวจร่างกายโดยเฉพาะการคลำและกดบริเวณท้องน้อยด้านขวา รวมถึงการตรวจทวารหนักในบางกรณี
การตรวจเลือด: เพื่อตรวจหาจำนวนเม็ดเลือดขาว (White Blood Cell Count) ซึ่งมักจะสูงขึ้นในภาวะมีการอักเสบหรือติดเชื้อ และอาจตรวจหาค่าการอักเสบอื่นๆ
การตรวจทางภาพถ่าย (Imaging Studies):
อัลตราซาวด์ช่องท้อง (Abdominal Ultrasound): เป็นการตรวจเบื้องต้นที่ปลอดภัยและรวดเร็ว โดยเฉพาะในเด็กและหญิงตั้งครรภ์
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan): เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ สามารถมองเห็นไส้ติ่งที่บวมและอักเสบ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนได้


การรักษา

การรักษาไส้ติ่งอักเสบที่ได้ผลและปลอดภัยที่สุดคือ การผ่าตัดนำไส้ติ่งที่อักเสบออก (Appendectomy) ซึ่งควรทำโดยเร็วที่สุดหลังจากได้รับการวินิจฉัย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

การผ่าตัดมี 2 วิธีหลัก:

การผ่าตัดแบบเปิด (Open Appendectomy): เป็นวิธีดั้งเดิม โดยแพทย์จะผ่าตัดเปิดหน้าท้องบริเวณท้องน้อยด้านขวาเป็นแผลยาวประมาณ 2-3 นิ้ว เพื่อนำไส้ติ่งออก
การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Appendectomy): เป็นวิธีที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน โดยแพทย์จะทำการเจาะรูเล็กๆ ประมาณ 2-3 จุด บริเวณหน้าท้อง เพื่อสอดกล้องและเครื่องมือเข้าไปผ่าตัด ข้อดีคือแผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงของการเกิดพังผืดในช่องท้อง
ในบางกรณีที่ไส้ติ่งอักเสบไม่มากและไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการติดเชื้อ แต่การผ่าตัดยังคงเป็นทางเลือกหลักและมีประสิทธิภาพที่สุด

ภาวะแทรกซ้อน
หากไม่ได้รับการรักษา หรือได้รับการรักษาที่ล่าช้า ไส้ติ่งอักเสบสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้:

ไส้ติ่งแตก (Ruptured Appendix): เป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด เมื่อไส้ติ่งบวมและอักเสบมากจนผนังแตก เชื้อแบคทีเรียและหนองจะแพร่กระจายเข้าสู่ช่องท้อง
เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis): เกิดจากการติดเชื้อที่แพร่กระจายไปทั่วช่องท้อง ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุช่องท้อง มีอาการปวดท้องรุนแรง ท้องแข็ง มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน และอาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตได้
ฝีในช่องท้อง (Abscess): หากไส้ติ่งแตก ร่างกายอาจสร้างถุงล้อมรอบการติดเชื้อเพื่อจำกัดการแพร่กระจาย ทำให้เกิดเป็นฝีในช่องท้อง ซึ่งอาจต้องทำการระบายหนองออก หรือรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน
ภาวะโลหิตเป็นพิษ (Sepsis): การติดเชื้อรุนแรงที่แพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้เกิดภาวะช็อกและอวัยวะล้มเหลว
ลำไส้อุดตันจากพังผืด: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัดไส้ติ่ง โดยเฉพาะการผ่าตัดแบบเปิด ทำให้เกิดพังผืดในช่องท้องไปรัดลำไส้


การป้องกันไส้ติ่งอักเสบ
ปัจจุบันยัง ไม่มีวิธีป้องกันไส้ติ่งอักเสบได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นภาวะที่มักเกิดจากการอุดตันที่ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม การรักษาสุขภาพของระบบทางเดินอาหารให้ดีอาจช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่น:

รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง: เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ลดโอกาสการเกิดอุจจาระแข็งอุดตัน
ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานปกติ และลดท้องผูก

หากคุณมีอาการปวดท้องรุนแรง โดยเฉพาะที่ท้องน้อยด้านขวา ร่วมกับอาการอื่นๆ ที่สงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรซื้อยาแก้ปวดมารับประทานเอง เพราะอาจบดบังอาการและทำให้การวินิจฉัยล่าช้า ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง