แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 44
1
Vinfast เปิดแผนส่งเสริม รถไฟฟ้า ev ในไทยและอาเซียน

วินฟาสต์ ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรมีความมุ่งมั่นในระยะยาวที่จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเติบโตอย่างมาก เนื่องจากความสนใจของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นและนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายต่างๆ เช่น พื้นที่ในเมืองมีผู้คนหนาแน่นและการจราจรที่ติดขัด ประชากรที่มีระดับรายได้แตกต่างกัน อนาคตของการสัญจรอย่างยั่งยืนอยู่ที่โซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งพื้นที่ในเมืองและชนบท 

ฮานา วู ซีอีโอของ วินฟาสต์ประเทศไทย กล่าวในงานประชุม Future Mobility Asia 2024 เมื่อเร็วๆ นี้ "ปรัชญาที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางของวินฟาสต์เป็นกลยุทธ์การขยายธุรกิจทั่วโลกของเรา" หลายปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์แข่งขันกันในด้านความสามารถทางวิศวกรรม สมรรถนะในการขับขี่และความ แต่ปัจจุบันภูมิทัศน์การแข่งขันได้เปลี่ยนไปแล้ว ประสบการณ์ของลูกค้ากลายเป็นสมรภูมิรบใหม่ ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารวมถึงวินฟาสต์เล็งเห็นกระแสนี้ ฮานา วู เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นนี้ในการประชุม Future Mobility Asia โดยกล่าวถึงถึงความพยายามของบริษัทในการส่งเสริมให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นผู้นำด้านการขนส่งที่ยั่งยืนผ่านโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมและเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง


"ในฐานะผู้มาใหม่ในตลาด EV ที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในระดับภูมิภาคและทั่วโลก วินฟาสต์พัฒนาขีดความสามารถของเราอย่างต่อเนื่องสร้างนวัตกรรมให้กับผลิตภัณฑ์ และสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เหมาะสมสำหรับแต่ละตลาด " ฮานา กล่าว

แนวทางของ วินฟาสต์ นั้นชัดเจนในหลายๆ ด้าน ประการแรก บริษัทนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย ตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ไปจนถึง SUV และรถกระบะ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มตลาดต่างๆ สำหรับครอบครัวหนุ่มสาวที่ต้องการรถยนต์ในเมือง e-SUV รถ VF e34 มีขนาดกะทัดรัดและมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยขั้นสูง สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบทที่ต้องการรถยนต์ที่ทนทาน สามารถเลือกใช้รุ่น VF 5 ของ วินฟาสต์ ซึ่งมีระยะห่างจากพื้นสูงและมีความยืดหยุ่นในการใช้งานบนภูมิประเทศต่างๆ ลูกค้าที่ต้องการรถบรรทุกเพื่อการทำงานสามารถเลือกรถกระบะไฟฟ้า VF Wild ที่กำลังจะมาถึง ส่วนผู้ที่มองหารูปแบบการเดินทางที่สนุกสนานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสามารถเพลิดเพลินกับการขับขี่จักรยานไฟฟ้า VF DrgnFly


นอกจากนี้ วินฟาสต์ ยังให้ความสำคัญกับนโยบายหลังการขาย โดยนำเสนอการรับประกันและบริการลูกค้าที่เหนือชั้น รวมถึงตลาดในประเทศไทย "สำหรับนโยบายหลังการขายและการรับประกัน เราให้คำมั่นว่าจะให้บริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยม ด้วยการรับประกันเป็นเวลา 7-10 ปี/160,000-200,000 กม. ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดในตลาดของประเทศไทย" ฮานา กล่าว


การบริการหลังการขายที่แข็งแกร่งมีความสำคัญต่อประสบการณ์ของลูกค้า  ความมุ่งมั่นของ วินฟาสต์ ที่มีต่อการมุ่งเน้นลูกค้าขยายไปไกลกว่าประเทศไทย ในอินโดนีเซีย  เพื่อให้การเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้าถึงได้ลดอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการนำมาใช้


ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญ

แม้ว่าความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้น แต่ก็มีอัตราการนำมาใช้ที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ ความหลากหลายของรถยนต์เพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ บริษัทต่างๆ ต้องลงทุนอย่างมากในโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าทั้งในเมืองและชนบทสามารถเข้าถึงสถานีชาร์จเร็วได้อย่างสะดวก


วินฟาสต์ ตั้งใจจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าผ่านความร่วมมือกับ V-GREEN ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Pham Nhat Vuong ผู้ก่อตั้ง วินฟาสต์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้


คุณ Vu กล่าวว่า "ในขั้นต้น V-GREEN จะมุ่งเน้นไปที่การวิจัยพันธมิตรและสถานที่เพื่อจัดตั้งและขยายเครือข่ายสถานีชาร์จในตลาดโลกหลักของ วินฟาสต์ นอกจากนี้ V-GREEN จะร่วมมือกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามเพื่อให้บริการชาร์จสำหรับเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า วินฟาสต์"


เนื่องจากความซับซ้อนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  จึงจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น วินฟาสต์ ได้ให้ความสำคัญกับการขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายในแต่ละตลาดเป้าหมาย  ประสบการณ์ในตัวแทนจำหน่ายยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภค การสร้างตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่ง วินฟาสต์ จึงได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์รถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมและส่งเสริมการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในวงกว้างมากขึ้น


 "การขยายเครือข่ายการขายของเราไปยังเมืองใหญ่ๆ และมอบโซลูชันการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าที่ปลอดภัย สะดวก และชาญฉลาด การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคการขนส่งของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและดูแลรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคนี้ บริษัทต่างๆ เช่น วินฟาสต์ กำลังปูทางไปสู่ระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าที่ยั่งยืนและสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ด้วยการส่งเสริมจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือและให้ความสำคัญกับโซลูชันที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

2
ติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงาน ทำไมต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ

การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม จะช่วยทำให้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น เพราะความร้อนทำให้เครื่องจักรกินไฟมาก อีกทั้งยังเสี่ยงชำรุดเสียหายได้ไวกว่าเดิมหลายเท่า

แต่อย่างไรก็ตาม การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน สำหรับโรงงานไม่ใช่เรื่องที่คิดปุบปับอยากติดก็ติด แต่ควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้าน ฉนวนกันความร้อน โดยเฉพาะ ด้วยเหตุผลสำคัญ ดังต่อไปนี้

1.เพราะต้องวัดค่าอุณหภูมิความร้อนที่เป็นปัญหา

การจะติดฉนวนกันความร้อนในโรงงานให้ได้มีประสิทธิภาพจริง เราต้องทราบก่อนว่าอุณหภูมิที่แท้จริงภายในโรงงานนั้นเป็นเท่าไร เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดมากน้อยแค่ไหน และต้องการลดอุณหภูมิลงให้ได้ประมาณเท่าไร เพื่อให้วัดผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน

ด้วยเหตุนี้เอง การติดตั้งฉนวนกันความร้อนสำหรับโรงงานจึงต้องได้รับการสำรวจหน้างาน ลงพื้นที่วัดอุณหภูมิจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้วางแผนการทำงานออกมาได้อย่างเหมาะสมที่สุด


2.เพราะต้องหาจุดต้องแก้ไขให้ครบถ้วน

ความร้อนภายในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายจุด และหลายสาเหตุ เช่นเกิดจากเครื่องจักร เกิดจากการทำกิจกรรมภายในโรงงาน เกิดจากการวางผังโรงงานที่ปิดกั้นการระบายความร้อน เกิดจากผนังโรงงานไม่กันความร้อน หรือเกิดจากบริเวณท่อปรับอากาศขนาดใหญ่ ตลอดจนหลังคาโรงงานที่ดูดซับความร้อนมากกว่าปกติ ฯลฯ

ซึ่งโรงงานที่มีปัญหาความร้อนสูง อาจเกิดจากหลาย ๆ สาเหตุพร้อมกัน ดังนั้น การให้ผู้เชี่ยวชาญสำรวจตรวจสอบโรงงานก่อนติดตั้งฉนวนจึงมีความจำเป็นมาก เพื่อให้วางแผนแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และครบถ้วนทุกจุดที่เป็นสาเหตุของความร้อนที่สะสมสูงในโรงงาน


3.เพราะต้องคำนวณปริมาณฉนวนกันความร้อนให้เพียงพอ

เมื่อทราบสาเหตุของจุดกำเนิด และจุดสะสมความร้อนที่ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนแล้ว ลำดับต่อไปที่สำคัญมากไม่แพ้กันก็คือ ขั้นตอนในการคำนวณปริมาณฉนวนความร้อนที่ต้องใช้ ให้เพียงพอต่อการป้องกันความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากติดตั้งน้อยเกิดไป ก็จะลดความร้อนลงไม่ได้ หรือถ้าติดมากเกินไป ก็จะเป็นการใช้งบประมาณที่เกินความจำเป็น

ทั้งนี้ ยังต้องรวมถึงการพิจารณาเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับประเภทการใช้งานด้วย ใช่ว่าฉนวนชนิดเดียวจะเหมาะกับทุกจุดใช้งานหมด เพราะในความเป็นจริงมีประเภทของฉนวนกันความร้อนสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมแยกไว้อย่างชัดเจน อาทิ ฉนวนกันความร้อนสำหรับงานหลังคา ฉนวนกันความร้อนสำหรับงานระบบปรับอากาศ และ ฉนวนกันความร้อนสำหรับงานห้องเครื่องจักร งานทนอุณหภูมิสูง เป็นต้น

การติดตั้งฉนวนกันความร้อนสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม จะไม่เป็นผลดีเลยหากไม่ได้รับการวางแผนจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดตั้งแล้วไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ เสียงบประมาณโดยไม่คุ้มค่า ตลอดจนอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้

3
หมอประจำบ้าน: ม่านตาอักเสบ (lritis/Anterior uveitis)

ม่านตาอักเสบ (ผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ ก็เรียก) เป็นภาวะอักเสบของม่านตา (iris)* พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในวัยทำงาน (กลุ่มอายุ 20-60 ปี) แม้โรคนี้พบได้ไม่บ่อย แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้

*ม่านตา คือเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบรูม่านตาที่ด้านหน้าตรงกลางลูกตา ซึ่งเห็นเป็นสีต่าง ๆ (เช่น น้ำตาล เทา ฟ้า) ม่านตาเป็นส่วนหนึ่งของผนังลูกตาชั้นกลาง (uvea) แต่เป็นส่วนที่อยู่ด้านหน้าของลูกตา เมื่อเกิดการอักเสบ เรียกว่า "ม่านตาอักเสบ (iritis)" หรือ "ผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ (anterior uveitis)" ซึ่งพบได้บ่อยที่สุดของโรคผนังลูกตาชั้นกลางอักเสบ (uveitis) ทั้งหมด

โรคผนังลูกตาชั้นกลางอักเสบ (uveitis) ถ้าเกิดที่ส่วนกลางของผนังลูกตา เรียกว่า Intermediate uveitis ถ้าเกิดที่ส่วนหลังของผนังลูกตา เรียกว่า Posterior uveitis ถ้าเกิดที่ผนังลูกตาทุกส่วนตั้งแต่ส่วนหน้าถึงส่วนหลัง เรียกว่า Panuveitis 

ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโรคม่านตาอักเสบ หรือผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ


สาเหตุ

ผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ส่วนที่ทราบอาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

    การติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น วัณโรค ซิฟิลิส) ไวรัส (เช่น เริม งูสวัด เอดส์) เชื้อรา (เช่น histoplasmosis) หรือโปรโตซัว (เช่น toxoplasmosis)
    การได้รับบาดเจ็บที่บริเวณตา เช่น ถูกกระทบกระแทก บาดแผลถูกแทงทะลุ บาดแผลถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือสารเคมี
    โรคภูมิต้านตนเอง (โรคออโตอิมมูน) ที่สัมพันธ์กับยีนเอชแอลเอ-บี27 (HLA-B27 หรือ Human leukocyte antigen B27)* เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โซริอาซิสหรือสะเก็ดเงิน
    ยาบางชนิด เช่น Rifabutin (ยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง), Cidofovir (ยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโรคเอดส์), Bisphosphonates (ยารักษาโรคกระดูกพรุน) เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้เป็นส่วนน้อย เมื่อหยุดยาอาการก็จะหายเป็นปกติ 
    การสูบบุหรี่ พบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคม่านตาอักเสบมากขึ้น

*เป็นยีน (พันธุกรรม) ที่พบในคนบางคน ซึ่งกำหนดให้ร่างกายสร้างแอนติเจน (สารโปรตีนชนิดหนึ่ง) ที่อยู่บนผิวของเม็ดเลือดขาว เรียกว่า "Human leukocyte antigen B27" แอนติเจนชนิดนี้ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเซลล์ที่ปกติของร่างกาย ก่อเกิดโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune disease) ได้หลากหลายชนิด


อาการ

อาการอาจเกิดกับตาเพียงข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นม่านตาอักเสบแบบเฉียบพลัน คือมีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน บางรายอาจเป็นม่านตาอักเสบแบบเรื้อรัง คือมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือเป็นเรื้อรังนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป

ม่านตาอักเสบแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง น้ำตาไหล ไวต่อแสง (ไม่สู้แสง หรือกลัวแสง) ตามองเห็นไม่ชัดหรือพร่ามัว บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย

ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตามากเมื่ออยู่ในที่สว่างหรือมีแสงจ้า แต่จะดีขึ้นเมื่ออยู่ในที่ร่มหรือมีแสงสลัว

อาการมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และจะเป็นอยู่นานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ ถึงหลายสัปดาห์ เมื่อหายแล้วอาจกำเริบได้ใหม่

ม่านตาอักเสบแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการตาพร่ามัว ตาแดงเล็กน้อย ปวดตาเล็กน้อย และกลัวแสงเพียงเล็กน้อย มักเป็นนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป

นอกจากนี้ สำหรับม่านตาอักเสบที่มีความสัมพันธ์กับโรคอื่น ๆ ก็จะมีอาการของโรคนั้น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหลังเรื้อรัง (ถ้าเป็นข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) ท้องเดินเรื้อรัง (ถ้าเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรัง) มีไข้หรือไอเรื้อรัง (ถ้าเป็นวัณโรคปอด) เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ดังนี้

    ต้อกระจก มักพบในผู้ป่วยที่ปล่อยให้ม่านตาอักเสบเรื้อรังนาน ๆ 
    ต้อหิน เนื่องจากมีการอุดกั้นของทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตา ซึ่งอาจเกิดจากมีเม็ดเลือดขาวที่เกิดจากการอักเสบไปอุดกั้น หรือเกิดจากมีพังผืดไปทำให้ทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตายึดติดกัน ทำให้ความดันลูกตาเพิ่มสูงขึ้น และกลายเป็นต้อหินตามมา
    ขอบรูม่านตาไม่เรียบ (irregular pupil) เนื่องจากมีพังผืดไปทำให้เกิดการยึดติดกันของม่านตากับกระจกตาหรือเลนส์ตา (แก้วตา)   
    กระจกตาเสื่อม เนื่องจากมีหินปูนพอกกระจกตา ทำให้สายตาพร่ามัว
    น้ำวุ้นลูกตาอักเสบ (vitritis) มีอาการเห็นเงาหยากไย่หรือจุดดำ (floaters) ลอยไปมามากขึ้น โดยการมองเห็นไม่ได้แย่ลง
    จอตาอักเสบ (retinitis) ทำให้สายตาพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็น
    จุดภาพชัดที่จอตาบวม (macular edema) ทำให้มองเห็นช่วงตรงกลางของภาพไม่ชัดหรือพร่ามัว


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย รวมทั้งการตรวจตา จะพบว่าบริเวณตาขาวที่อยู่ใกล้ขอบตาดำ มีลักษณะแดงเรื่อ ๆ โดยไม่มีขี้ตา แต่อาจมีน้ำตาไหล รูม่านตาอาจมีขนาดเล็กกว่าข้างปกติ มีรูปลักษณ์ผิดแปลกหรือขอบไม่เรียบ กระจกตาอาจมีลักษณะขุ่นเล็กน้อย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจวัดสายตา ความดันลูกตา การใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ (slit-lamp ซึ่งสามารถเห็นทั้งภายนอกและภายในดวงตาแบบภาพ 3 มิติ) ส่องตรวจตา

นอกจากนี้ ในรายที่สงสัยว่ามีภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุร่วมด้วย แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด (ดูภาวะติดเชื้อ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส) เอกซเรย์ (เช่น ตรวจหาวัณโรคปอด ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) เป็นต้น

ในรายที่เป็นเรื้อรัง มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือสงสัยว่ามีความสัมพันธ์กับโรคภูมิต้านตนเอง อาจทำการตรวจเลือดหายีนเอชแอลเอ-บี27 (HLA-B27)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะตรวจหาภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุ และให้การรักษาสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยาต้านจุลชีพ (ปฏิชีวนะ/ยาต้านไวรัส) ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อ ให้สเตียรอยด์/ยากดภูมิคุ้มกัน ในรายที่เป็นโรคภูมิต้านตนเอง

ส่วนภาวะม่านตาอักเสบ แพทย์จะให้การรักษา ดังนี้

    ให้ยาหยอดตาที่ทำให้รูม่านตาขยาย เพื่อให้ม่านตาได้พักบรรเทาอาการปวด และป้องกันไม่ให้ม่านตาที่อักเสบไปยึดติดกับแก้วตาที่อยู่ข้างหลัง
    ให้สเตียรอยด์ชนิดเป็นยาหยอดตา เพื่อลดการอักเสบ หากไม่ได้ผลหรือมีอาการกำเริบบ่อย ก็จะให้สเตียรอยด์ชนิดกิน หรือให้ยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressant)   

ผลการรักษา การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้โรคทุเลาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ ส่วนใหญ่อาจต้องใช้เวลารักษาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนจนกว่าอาการจะทุเลาดี

สำหรับม่านตาอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บ มักจะค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อ อาการจะทุเลาหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ (ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัส)

บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ นานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดจากโรคภูมิต้านตนเอง (เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) แพทย์จะให้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ไว้ประจำที่บ้าน และแนะนำว่าเมื่อมีอาการกำเริบใหม่ ให้ใช้หยอดตาทันทีแล้วค่อยไปพบแพทย์


การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นม่านตาอักเสบ (มีอาการปวดตา ตาแดง และตามัว) ควรปรึกษาแพทย์ด่วน

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ
    ประคบตาด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ วันละ 3-4 ครั้ง นานครั้งละ 20 นาที
    สวมแว่นตาดำ หากมีอาการปวดตามากขึ้นเวลาถูกแสงสว่าง
    ถ้าปวดตามาก กินพาราเซตามอลบรรเทาปวด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการปวดตารุนแรง ตาแดงหรือตามัวมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา


การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลดี

สำหรับส่วนที่มีสาเหตุ เช่น การบาดเจ็บ โรคติดเชื้อ (เช่น เริม งูสวัด วัณโรคปอด ซิฟิลิส) โรคภูมิต้านตนเอง (เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคโซริอาซิส) เป็นต้น ก็อาจป้องกันไม่ให้ม่านตาอักเสบกำเริบด้วยการป้องกันและควบคุมภาวะเหล่านี้

ข้อแนะนำ

1. อาการปวดตาและตาแดง อาจมีสาเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ หรืออาจมีสาเหตุที่รุนแรง เช่น ต้อหิน แผลกระจกตา ม่านตาอักเสบ เราอาจวินิจฉัยแยกกลุ่มโรคที่รุนแรงออกจากกลุ่มที่ไม่รุนแรงได้ โดยการตรวจพบว่า กลุ่มโรคที่รุนแรงจะมีอาการปวดตามาก ตามัว รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือกระจกตาขุ่นหรือเป็นฝ้าขาว หากพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ด่วน (ตรวจอาการ ตามัว/ตาฝ้าฟาง/มองเห็นเงาหรือภาพผิดปกติ/เห็นภาพซ้อน และ ปวดตา/เจ็บตา เพิ่มเติม)

2. ผู้ป่วยควรดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการปวดตาและตามัวอย่างฉับพลัน ควรได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง จะช่วยให้โรคทุเลาดี และป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการสูญเสียการมองเห็น (ตาบอดอย่างถาวร)

นอกจากนี้ ผู้ป่วยไม่ควรใช้ยาพร่ำเพรื่อเกินที่แพทย์แนะนำ หรือหยุดยาเองตามใจชอบ หรือซื้อยามาใช้เอง และไม่ควรนำยาที่แพทย์สั่งให้ใช้ไปให้ผู้อื่นใช้ เนื่องจากยาเหล่านี้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาสเตียรอยด์) อาจมีผลข้างเคียง (เช่น ต้อหิน ต้อกระจก) หรือเกิดผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้หากใช้ไม่ถูกต้อง

4
อาชีพเสริม จากการขายแกงกะทิสายบัวปลาทูนึ่ง กะทิหอมหวานมันกลมกล่อมครบรส

อาหารไทยขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่สดใส กลิ่นหอมของเครื่องเทศและส่วนผสมที่ผสมผสานกันอย่างมีเอกลักษณ์ อาหารจานหนึ่งที่น่ารับประทานคือแกงกะทิสายบัวกับปลาทูนึ่งหรือแกงกะทิสายบัวปลาทูนิ่ง แกงแบบดั้งเดิมนี้ผสมผสานความครีมมี่ของกะทิ ความกรุบกรอบสดชื่นของสายบัวและรสชาติที่อร่อยของปลาทูนึ่ง สร้างสรรค์เนื้อสัมผัสและรสชาติที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

แกงกะทิสายบัวปลาทูนึ่งเป็นอาหารไทยยอดนิยมที่มีรสชาติกลมกล่อม หอมหวานมันกะทิ เปรี้ยว เค็ม เผ็ดเล็กน้อย ครบรส

วัตถุดิบ
ในการทำอาหารจานนี้ คุณจะต้องมี:
กะทิ 300 มล.
ก้านบัว 200 กรัม (หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ)
ปลาทูนึ่ง 2 ตัว (แกะกระดูกออก)
พริกแกงแดง 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดฉีก 5-6 ใบ
พริกสดหั่นเป็นแว่น (ไม่จำเป็น สำหรับตกแต่ง)
ใบโหระพาไทยสำหรับความหอมสดชื่น

คำแนะนำในการปรุงอาหาร

1. เตรียมก้านบัว:
แช่ก้านบัวที่หั่นแล้วในน้ำเกลือประมาณ 10 นาทีเพื่อให้คงความกรอบไว้ สะเด็ดน้ำแล้วพักไว้

2. ทำฐานแกง:
ตั้งกระทะบนไฟปานกลางแล้วใส่กะทิลงไปเล็กน้อย คนจนน้ำมันเริ่มแยกตัวออกจากกะทิ ใส่พริกแกงแดงลงไป คนให้เข้ากันจนมีกลิ่นหอม

3. ใส่ส่วนผสมเครื่องปรุง:
เทกะทิที่เหลือลงไปแล้วต้มให้เดือดเบาๆ เติมน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และใบมะกรูด คนจนเข้ากันดีและน้ำตาลละลาย

4. ต้มก้านบัว:
ใส่ก้านบัวลงไปแล้วเคี่ยวประมาณ 5-7 นาที จนก้านบัวสุกแต่ยังคงกรอบอยู่

5. ใส่ปลาแมคเคอเรลนึ่ง:
ใส่ปลาแมคเคอเรลนึ่งลงในแกงเบาๆ เคี่ยวต่ออีก 2-3 นาทีเพื่อให้รสชาติเข้ากัน

6. เสิร์ฟ:
ตกแต่งด้วยใบโหระพาและพริกสดเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและเผ็ดร้อน เสิร์ฟร้อนๆ กับข้าวหอมมะลินึ่ง

ความสุขในการรับประทานอาหาร
แกงกะทิก้านบัวกับปลาทูนึ่งเป็นตัวแทนที่สมบูรณ์แบบของความสมดุลและความกลมกลืนที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย ความหวานละมุนของกะทิช่วยเสริมรสชาติของก้านบัวและรสชาติที่เข้มข้นของปลาทู มอบประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจและรสชาติที่อร่อยในทุกคำที่กัด

เมนูนี้นอกจากจะอร่อยแล้วยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย ลำต้นของดอกบัวอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ในขณะที่ปลาแมคเคอเรลมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่จำเป็น


5
บริหารจัดการอาคาร: เคล็ดไม่ลับการวางตำแหน่งติดแอร์ที่ดี!

แอร์หรือเครื่องปรับอากาศ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง มีหน่วยเป็น BTU สามารถปรับอุณภูมิของอากาศในสถานที่ ทำให้ที่อาศัยไม่ร้อน เย็น จนเกินไป หรือ จะรักษาสภาวะอากาศให้คงที่ และ ยิ่งบ้านเรามีอากาศที่ร้อนอบอ้าว ก็มักจะนำเครื่องปรับอากาศมาใช้เพื่อลดอุณภูมิให้เย็นลง เครื่องปรับอากาศมีทั้งแบบติดผนัง และแบบเคลื่อนที่ จะทำงานในรูปแบบการถ่ายเทความร้อน รวมไปถึงยังสามารถฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้ด้วย จะให้ความเย็น หรือ ระบบการใช้งานที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้สะดวกที่จะใช้แบบไหน เครื่องปรับอากาศในปัจจุบันนั้นได้วางขายอยู่มากมายหลากหลาย จนบางครั้งอาจจะเลือกไม่ถูก และ ไม่รู้ว่าซื้อแล้วจะดีไหม แต่สิ่งที่สำคัญมากอีกปัจจัยหนึ่งคือ การติดตั้งแอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้ความเย็นได้กระะจายไปทั่วห้องและยังไม่ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักอีกด้วย

นอกจากนี้ การติดตั้งคอมเพรสเซอร์ ควรจะหาพื้นที่ติดตั้งคอมเพรสเซอร์แอร์ ให้อยู่ในบริเวณที่เหมาะสมด้วย  ซึ่งควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นพื้นปูน หรือ ดาดฟ้า รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่ได้รับแสงแดดโดยตรง รวมทั้งมุมอับ ที่อากาศไม่ค่อยถ่ายเท เพราะคอมเพรสเซอร์แอร์นั้น เป็นตัวระบายความร้อน จึงควรอยู่ในที่ร่ม แนะนำว่าควรอย่างยิ่งที่จะยกสูงขึ้น เหนือพื้นที่ปกติ เพื่อให้อากาศจากคอมเพรสเซอร์ ถ่ายเทได้ดียิ่งขึ้น เมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่เปลืองไฟด้วย แต่ในวันนี้เราจะมาพูดถึงการวางตำแหน่งแอร์ในบ้านให้เหมาะสม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยทำให้แอร์กระจายความเย็นไปทั่วห้อง เพื่อให้คนในบ้านรู้สึกเย็นสบายและช่วยประหยัดค่าไฟอีกด้วย

หลายบ้านประสบปัญหาในเรื่องของแอร์ไม่เย็น ซึ่งมีด้วยกันหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความสกปรกของแอร์ อุณหภูมิที่ใช้ หรือ ตำแหน่งการติดตั้งแอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการใช้งาน แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงการวางตำแหน่งของแอร์ให้เหมาะสม ซึ่งหลายคนคิดแค่ว่า วางตรงไหนที่ทำให้แอร์ตกมาที่ตัวเองมากที่สุด เพื่อให้ช่วยเย็นสบาย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะการวางตำแหน่งแอร์จะมีเคล็ดลับที่ช่วยทำให้ความเย็นกระจายไปทั่วห้อง และไม่ทำให้แอร์ทำงานหนักด้วย

สำหรับเคล็ดลับแรกคือ ไม่ควรติดตั้งแอร์บนศีรษะและปลายเตียง ข้อนี้สิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นตำแหน่งที่ปล่อยลมออกมาปะทะร่างกายและศีรษะโดยตรง อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ สำหรับทิศทางลมจากเครื่องปรับอากาศที่สวนจากปลายเท้าขึ้นมาทางศีรษะ ลมเย็นจะพัดสวนเข้าจมูกตลอด หากเครื่องปรับอากาศไม่ได้ทำความสะอาดนานๆ อากาศที่เป่าออกจากแอร์จะมีความชื้นและเชื้อโรคตามมาด้วย

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบหายใจทำงานผิดปกติ มีโอกาสเป็นหวัดเรื้อรัง เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย อีกทั้งการติดตั้งแอร์ไว้บนหัวเตียง จะทำให้ตอนนอนรู้สึกเหมือนมีอะไรกดทับอยู่ ส่งผลให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ ตำแหน่งเหนือประตูห้อง คือจุดที่ไม่ควรติดตั้งแอร์ เพราะการเปิด-ปิด ประตูแต่ละครั้งจะทำให้ความเย็นออกจากห้องนอนได้ง่าย อุณหภูมิใกล้ประตูไม่คงที่ ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศเย็นช้า ระบบเซ็นเซอร์ของเครื่องปรับอากาศทำงานหนักและเปลืองค่าไฟอีกด้วย นอกจากนี้ เครื่องทำความเย็นทุกๆ ประเภท ไม่ควรติดตั้งในจุดที่โดนแสงแดดหรือมีเครื่องทำความร้อน โดยเฉพาะผนังบ้านทางทิศใต้และทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่รับแสงแดดเกือบตลอดทั้งวัน ไม่เพียงแค่ทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น จะทำให้ค่าไฟก็ขยับตามขึ้นด้วย หากบางห้องไม่สามารถเลี่ยงในการติดตั้งในทิศดังกล่าวได้ อาจเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศชนิดฝังฝ้าเพดานแทนได้

และทริคอีกอย่างหนึ่งคือ เราควรเลือกตำแหน่งที่กระจายลมได้ไกล โดยห้องแต่ละห้องจะมีรูปร่างและขนาดต่างกัน วิธีการมองหาจุดติดตั้งแอร์มีหลักการใกล้เคียงกันคือ ติดตั้งมุมที่เครื่องปรับอากาศสามารถกระจายลมเย็นไปทั่วทั้งห้องได้ ไม่ติดตั้งในมุมอับ เพราะการกระจายความเย็นอาจทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่น ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตำแหน่งติดตั้งควรอยู่ในตำแหน่งผนังแนวยาว เพื่อให้ความเย็นที่ออกมากระจายไปทางซ้ายและขวาของห้องได้อย่างทั่วถึง และสำหรับตำแหน่งที่เหมาะสมมากที่สุดคือ ผนังด้านที่ตั้งฉากกับเตียง ให้ทิศทางลมจากตัวเครื่องพัดขวางลำตัวในเวลานอน อาจติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้ตรงบริเวณกลางเตียงหรือขยับเยื้องค่อนไปทางปลายเตียงเล็กน้อย จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้หรือระบบทางเดินหายใจได้ แถมยังช่วยทำให้เย็น หลับสบายมากที่สุด

ทั้งนี้ทางเราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสม ทางเรามีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ ระบบการจัดการอาคารหรือระบบทำความเย็นภายในอาคาร เพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากขึ้นได้

6
หมอออนไลน์: ผื่นพีอาร์ (PR/Pityriasis rosea)

ผื่นพีอาร์ (ผื่นกลีบกุหลาบ ก็เรียก) เป็นโรคผิวหนังที่พบได้ประมาณร้อยละ 1-2 ของคนทั่วไป มักพบในวัยรุ่น และผู้ใหญ่อายุ 15-40 ปี พบในชายและหญิงเท่า ๆ กัน

เป็นโรคที่ไม่มีอันตรายและหายได้เอง โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ และจะไม่เป็นซ้ำอีก

สาเหตุ

โรคนี้ยังไม่พบสาเหตุแน่ชัด สันนิษฐานว่าผื่นที่ผิวหนังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส (กลุ่ม herpes virus) ซึ่งไม่มีการติดต่อสู่ผู้อื่น

อาการ

ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นตามตัว โดยที่ไม่มีอาการไข้ และสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี

แรกเริ่มจะมีผื่นแดงรูปร่างกลมรี ขอบชัด มีเกล็ดบาง ๆ ที่ขอบของผื่น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-6 ซม. จำนวน 1 ผื่นที่ผิวหนัง โดยมากมักจะขึ้นตรงหน้าอก บางรายอาจขึ้นที่หลัง ผื่นอันแรกนี้เรียกว่า ผื่นแจ้งโรค (herald patch)

หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก็จะมีผื่นลักษณะเดียวกัน ขนาดเล็กกว่า (เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5-1.5 ซม.) ค่อยทยอยขึ้นตามมา อาจมีอาการคันเล็กน้อย ผื่นเหล่านี้จะขึ้นที่หน้าอก หน้าท้อง และอาจขึ้นที่หลัง ต้นแขน ต้นขา

ในเด็กอาจมีผื่นขึ้นที่ใบหน้า มือ เท้า

ผื่นมักจะหายไปได้เองภายใน 2-6 สัปดาห์ (บางรายอาจหายใน 3-4 เดือน)


ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้มักหายได้เอง โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง นอกจากอาการคันมาก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ถ้าพบผู้ป่วยในระยะแรก อาจตรวจพบผื่นแจ้งโรค 1 อัน (บางรายอาจมีมากกว่า 1 อัน) อาจทำให้นึกว่าเป็นโรคกลาก ต่างกันที่ผื่นพีอาร์จะไม่คันมากและไม่ลุกลาม

ถ้าพบผู้ป่วยระยะที่มีผื่นขึ้นทั้งตัว จะพบผื่นแดง รูปร่างกลมรีจำนวนมาก โดยแกนตามยาว (ของวงรี) จะเรียงขนานกับร่องผิวหนัง (cleavage line) ทำให้ด้านหน้า (หน้าอก หน้าท้อง) ดูลักษณะเป็นรูปตัว T และด้านหลังดูลักษณะคล้ายต้นคริสต์มาส หากพบผื่นในลักษณะนี้ ควรตรวจหาผื่นแจ้งโรคที่มีขนาดใหญ่กว่าผื่นอันอื่น ๆ บางรายอาจพบมากกว่า 1 อัน บางรายอาจไม่พบ "ผื่นแจ้งโรค" ก็ได้

ถ้าสงสัยว่าอาจเป็นโรคเชื้อรา แพทย์จะขูดเอารอยโรคไปตรวจหาเชื้อรา


การรักษาโดยแพทย์

โรคนี้หายเองได้ และไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะ แพทย์เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการ แล้วรอเวลาให้หายเอง ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจระคายเคืองต่อผิวหนัง ควรใช้สบู่อ่อน (เช่น สบู่เหลว สบู่เด็ก) ในการล้างทำความสะอาดร่างกาย

2. ถ้าคันให้ทาคาลาไมน์ หรือครีมสเตียรอยด์ (ครีมสเตียรอยด์ นอกจากช่วยลดอาการคันแล้ว ยังอาจช่วยให้หายเร็วขึ้น) ถ้าคันมาก หรือทำให้นอนไม่หลับให้กินยาแก้แพ้

3. ถ้าผื่นไม่ทุเลาใน 6 สัปดาห์ หรือสงสัยเป็นโรคอื่น เช่น ซิฟิลิส ผื่นแพ้ยา เป็นต้น ควรส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด ในรายที่สงสัยเป็นซิฟิลิส อาจต้องเจาะเลือดหาวีดีอาร์แอล (VDRL)

ในรายที่เป็นผื่นพีอาร์ที่เป็นมากและเรื้อรัง แพทย์อาจให้การรักษาโดยวิธีฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB) ทุกวัน จะช่วยให้ผื่นหายเร็วขึ้น


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีผื่นขึ้นตามตัว ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นผื่นพีอาร์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรให้ผิวหนังได้ถูกแดด (อาบแดด) อ่อนๆ นานวันละ 10-15 นาที (ผู้ที่แพ้แดดควรหลีกเลี่ยงการถูกแดด) มีส่วนช่วยให้โรคทุเลาเร็วขึ้น


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการคันมาก หรือดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ จึงไม่จำเป็นต้องแยกผู้ป่วยหรือห้ามใกล้ชิดกับผู้อื่น

2. ในรายที่เป็นไม่มาก เช่น มีอาการคันเล็กน้อย อาจไม่จำเป็นต้องให้ยารักษาแต่อย่างใด และรอให้หายเองได้ภายใน 2-6 สัปดาห์

3. ควรแยกอาการผื่นพีอาร์ออกจากโรคอื่น ๆ เช่น ผื่นแจ้งโรค ต้องแยกออกจากโรคกลาก ส่วนผื่นแดงทั่วตัวต้องแยกจากโรคซิฟิลิส ระยะออกดอก ผื่นแพ้ยา ไข้ออกผื่น (มักมีไข้เป็นสำคัญ) เช่น หัด หัดเยอรมัน เป็นต้น


7
การเล่นกีฬา ในระหว่างการจัดฟันเด็ก สามารถทำได้หรือไม่

อย่างที่หลายๆท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า ในยุคสมัยนี้มีนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ล้ำสมัย โดยมีชื่อว่า EF Line อุปกรณ์สำคัญในการจัดฟันในเด็กเล็ก ซึ่งได้ผลดีเกินคาด และได้รับการรองรับจากทันตแพทย์ทั่วโลกว่า เหมาะสมสำหรับเด็ก ลบความเชื่อผิดๆที่ว่าเด็กเล็กไม่ควรจัดฟันได้อย่างสิ้นเชิงซึ่ง เราก็ได้นำนวัตกรรมล้ำสมัยนี้มาใช้ กับเด็กเล้กที่มีอาการผิดปกติทางด้านโครงสร้างกระดูกขากรรไกรที่เป็นต้นเหตุหลักทำให้ใบหน้าผิดรูป รวมถึงการสบฟันผิดปกติในเด็กเล็ก ไม่เว้นแม้แต่พฤติกรรมที่ทำให้เด็กมีปัญหาเรื่องสุขภาพช่องปากในอนาคตอีกด้วยแต่ก็ต้องขอบอกก่อนว่าเด็กเล็กๆ มักจะมีการต่อต้าน อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line มากพอสมควร ซึ่งอยากให้ผู้ปกครองอย่าถอดใจและทำความเข้าใจในพฤติกรรม และแข็งใจให้บุตรหลานของท่านใส่ให้ได้ โดยรายละเอียดวิธีการใช้และแก้ปัญหามีดังต่อไปนี้
 

กฎสำคัญในการใส่ EF Line ในเด็กเล็ก

– สิ่งสำคัญที่สุดในการให้บุตรหลานของท่านใส่ EF Line คือ บุตรหลานของท่านต้องมีอายุ 4 ปี ขึ้นไป แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในอุปกรณืชิ้นนี้คือใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำหว่า 14 ปี
– ก่อนที่จะทำการใช้ อุปกรณ์ทันตกรรม EF Line ควรได้รับการวินิจฉัยจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อมาใส่เอง เพราะ อุปกรณ์ EF Line จะถูกผลิตขึ้นมาใหม่ทุกครั้งเพื่อรับกับช่องปากและฟันของคนนั้นเท่านั้น และจะมีการวางรูปแบบในระยะยาว จึงไม่สามารถหาซื้อมาใส่เองหรือทำกับผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาในด้านนี้เฉพาะได้
– ในขณะที่ใช้อุปกรณ์ EF Line จะต้องอยู่ในการดูแลของทันตแพทย์อย่างใกล้ชิดโดยตลอด มาตามนัดทันตแพทย์ผู้รักษาอย่าให้ขาด เพื่อจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพสูงที่สุดนั่นเอง


คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ EF Line

ต้องขอบอกเลยว่า เด็กเล็กๆหลายๆคนมีปัญหาในการใส่ EF Line เนื่องจากว่าในขณะที่ทำการใส่แรกๆนั้น จะเกิดความไม่เคยชินเนื่องจากว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในช่องปาก อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในบางตำแหน่ง และอาจจะเกิดบาดแผลเล็กๆได้ ซึ่งหากว่ามีบาดแผลในช่องปากให้ทำการทายาสำหรับช่องปาก ซึ่งอาจจะมีอาการเจ็บบ้างในระยะแรกๆ แต่ไม่นานแผลเหล่านั้น และอาการระคายเคืองจะหมดไปเนื่องจากร่างกายจะปรับตัวตามธรรมชาติ หรือพยายามให้เด็กเล็กที่ใส่อุปกรณ์ EF Line ดื่มน้ำเยอะๆในขณะใส่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นภายในช่องปากก็สามารถลดการระคายเคืองได้ดีเช่นกัน

อีกสิ่งสำคัญที่มักจะทำให้ผู้ปกครองตกใจและให้บุตรหลานเลิกใส่นั่นก็คือ เมื่อทำการใส่ EF Line เด็กเล็กๆจะเริ่มมีอาการอยากอาเจียน บางคนถึงขั้นอาเจียนทุกครั้งเมื่อทำการใส่ ซึ่งถึงจะเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองพยายามแข็งใจบังคับตนเองให้ใส่ EF Line ให้บุตรหลานให้ได้ เพราะ เมื่อใส่ไประยะหนึ่งจะเกิดความเคยชินและก็จะไม่เกิดอาการอยากอาเจียนอีก
หากต้องทำการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ให้เด็กเล็กๆ ผู้ปกครองควรเชื่อฟันคำแนะนำจากทันตแพทย์ ใจแข็ง ให้นึกไว้เสมอว่าหากไม่ให้บุตรหลานใส่อนาคตอาจจะต้องเสียใจเพราะบุตรหลานของท่านอาจมีฟันและโครงหน้าที่ผิดปกติและจะทำให้เกิดการรักษายากขึ้นมากตามอายุนั่นเอง
 

วิธีใส่ EF Line ที่ถูกต้อง

– กลางวัน
การใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ในช่วงเวลากลางวัน หรือตอนตื่นนอน ควรเลือกเวลาให้ใส่ติดปากห้ามถอดออกเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่ใส่นี้ผู้ปกครองควรสังเกตพยายามให้บุตรหลานอยู่นิ่งๆ ไม่เอานิ้วเข้าปาก ไม่เคี้ยวอุปกรณ์เล่น ปิดปากให้สนิทไม่พูดคุยในขณะที่ทำการใส่อยู่เพื่อเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบปาก
– กลางคืน
ในเวลากลางคืนนี้ถือได้ว่าไม่ยุ่งยาก เนื่องจากว่าให้ใส่ก่อนจะเข้านอน โดยต้องทำการใส่ติดปากห้ามถอดในขณะนอนหลับ เป็นระยะเวลา 10 ชั่วโมง
 
ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องที่ควรรู้ในการให้บุตรหลานหรือเด็กเล็กๆใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line โดยผู้ปกครองจะต้องใจแข็งและตั้งใจไปกับบุตรหลานของท่านด้วย เพียงเท่านี้อาการผิดปกติในช่องปากต่างๆก็จะกลับมาเป็นปกติอันรวดเร็วตามระเบียบของเด็กและผู้ปกครองด้วย

8
คิดจะรีไฟแนนซ์บ้าน คิดถึงธนาคารไหน?...เปรียบเทียบให้ดี คำนวณให้คุ้ม ค่าใช้จ่ายจะได้ไม่บานปลาย!!

"รีไฟแนนซ์ (Refinance)" หลายคนสงสัยว่า เมื่อเรากู้ซื้อบ้านแล้ว เราจำเป็นจะต้อง รีไฟแนนซ์ ไหม? คำตอบของคำถามนี้บอกได้เลยค่ะว่า รีไฟแนนซ์ นั้น มีความจำเป็นสำหรับคนที่ต้องการลดการจ่ายดอกเบี้ยลง เพราะการ รีไฟแนนซ์ เป็นการเปลี่ยนเจ้าหนี้ จากผู้ให้สินเชื่อเดิมเพื่อไปขอกู้จากผู้ให้สินเชื่อใหม่ ซึ่งผู้ให้สินเชื่อใหม่จะเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า โดยปกติแล้วธนาคารที่ให้สินเชื่อเดิมจะมีโปรโมชั่นสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุดอยู่ที่ 3 ปีแรก และหลังจากนั้นก็จะเป็นดอกเบี้ยที่สูงขึ้นแบบลอยตัว รวมทั้งในเงื่อนไขของสินเชื่อแต่ละธนาคารก็ได้กำหนดให้เราต้องชำระเงินกู้ให้ครบ 3 ปีก่อน แล้วถึงจะทำการ รีไฟแนนซ์ เปลี่ยนสินเชื่อกับธนาคารใหม่ได้ ทั้งนี้ ในบางรายมีความจำเป็นที่จะต้องจ่ายค่างวดให้น้อยลงกว่าเดิม หรือต้องการตัดเงินต้นเพิ่มขึ้น การ รีไฟแนนซ์ นี้ก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้เช่นกัน

เปรียบเทียบให้ดี เลือกให้คุ้ม ค่าใช้จ่ายไม่บานปลาย...ต้องดูอะไรบ้าง?
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่หันมาสนใจการ รีไฟแนนซ์ บ้านมากขึ้น ทำให้บรรดาธนาคารต่างๆ จัดโปรโมชั่นเกี่ยวกับสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านออกมาไม่ขาดสาย ซึ่งนับได้ว่าเป็นผลดีกับผู้บริโภคอย่างเราๆ เนื่องจากการแข่งขันค่อนข้างสูง ยิ่งธนาคารไหนออกโปรโมชั่นที่จูงใจ และดึงดูดผู้บริโภคมากที่สุด ก็จะได้รับความนิยมมากเท่านั้น ดังนั้น ในฐานะผู้บริโภคอย่างเราควรจะต้องมีการเปรียบเทียบให้ดี ดูให้คุ้ม ว่าแบบไหนได้ประโยชน์มากที่สุด

ถ้าต้องรีไฟแนนซ์ จะเลือกธนาคารไหนดี?

 กรณีคำนึงถึงดอกเบี้ย
หลังจากที่ได้เห็นตารางเปรียบเทียบของหลายๆ ธนาคารข้างต้นแล้ว ถ้าดูจากเรื่องของดอกเบี้ยแล้วนั้น ธนาคารที่มีดอกเบี้ยถูกและน่าสนใจมากที่สุดในกลุ่มนี้ นั่นก็คือ "ธนาคารธนชาต" ด้วยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี เริ่มต้น 3.29% ต่อปี กับ "สินเชื่อบ้านธนชาตรีไฟแนนซ์" โดยสินเชื่อนี้ทางธนาคารให้ผู้กู้สามารถเลือกได้ 2 ทางเลือก คือ

ทางเลือกที่ 1 อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3.290% ต่อปี
ปีที่ 1 - 2 : ดอกเบี้ย 3.290% ต่อปี
ปีที่ 3 : ดอกเบี้ย MLR - 3.360% ต่อปี
หลังจากนั้น : MLR - 1.150% ต่อปี
**อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 4.890% ต่อปี
ทางเลือกที่ 2 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี
ปีที่ 1 - 2 : 4.250% ต่อปี
ปีที่ 3 : MLR - 0.900% ต่อปี
หลังจากนั้น : MLR - 0.650% ต่อปี
**อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 5.623% ต่อปี
หมายเหตุ :
สามารถขอเพิ่มวงเงินกู้ เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบคุ้มครองวงเงินกู้ (MRTA) ได้
สิทธิพิเศษ ธนาคารจะมอบส่วนลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 12 เดือน ในกรณีลูกค้าทำประกันชีวิตที่คุ้มครองวงเงินกู้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 กับบริษัทผู้รับประกันตามนโยบายของธนาคารโดยอายุกรมธรรม์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของอายุสัญญากู้เงิน และไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือทำประกันชีวิตที่คุ้มครองวงเงินกู้ทั้งจำนวนกับบริษัทผู้รับประกันตามนโยบายของธนาคาร โดยอายุกรมธรรม์ไม่ต่ำกว่าอายุสัญญากู้เงินหรือไม่ต่ำกว่า 10 ปี

- ซื้อประกันชีวิต MRTA : ลดอัตราดอกเบี้ย 0.15%
- ซื้อประกันชีวิต MRTA Plus : ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%

 กรณีคำนึงถึงค่างวด
หากการเลือกรีไฟแนนซ์เพื่อต้องการจ่ายค่างวดให้น้อยลง และสามารถลดเงินต้นได้เพิ่มขึ้นนั้น ทาง สินเชื่อบ้านธนชาตรีไฟแนนซ์ ก็ยังสามารถตอบโจทย์นี้ได้อยู่ เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำเฉลี่ย 3 ปีแรก เริ่มต้น 3.29% ต่อปี เมื่อดอกเบี้ยน้อยลง ค่างวดก็น้อยลง และทำให้เงินต้นลดมากขึ้น พร้อมให้ระยะเวลาการผ่อนชำระนานสูงสุด 30 ปี ดังนั้น จึงจ่ายน้อย ผ่อนสบาย ซึ่งเป็นการลดภาระได้มากทีเดียว
 ตารางเปรียบเทียบการจ่ายค่างวดที่ลดลง และสามารถตัดเงินต้นได้มากขึ้น

เปรียบเทียบ


ธนาคารเดิม                      วงเงินกู้ (บาท)    2,000,000
ระยะเวลาผ่อน (ปี)            30             27
ค่างวดผ่อนต่อเดือน         12,800          12,500
อัตราดอกเบี้ย เฉลี่ย 3 ปีแรก    5.75%   3.29%
ดอกเบี้ยจ่าย 3 ปีแรก          334,741   184,895
เงินต้นที่จ่ายคืนใน 3 ปีแรก     126,059   265,105

จากตัวอย่างตารางเปรียบเทียบจะเห็นได้ชัดว่าถ้าเปลี่ยนมารีไฟแนนซ์บ้านกับธนชาต จะทำให้ยอดชำระค่างวดต่อเดือนลดลง เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลง นอกจากนั้น ยอดดอกเบี้ยทั้งหมดของ 3 ปีแรกก็จ่ายน้อยลงด้วยเช่นกัน จึงทำให้จำนวนเงินต้นที่ถูกตัดไปก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย
 กรณีคำนึงถึงวงเงินกู้เพิ่ม
ความต้องการเพิ่มเติมของคนที่ต้องการรีไฟแนนซ์บ้านนั้น นอกจากจะต้องการดอกเบี้ยที่ลดลงแล้วหลายคนก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินส่วนต่างที่ได้จากการรีไฟแนนซ์เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งบางคนก็จะต้องนำไปปิดหนี้ในส่วนอื่นที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า หรือในบางคนก็ต้องการนำไปเป็นเงินทุนเพื่อใช้ในการลงทุนธุรกิจเพื่อให้เกิดรายได้ ดังนั้น วงเงินกู้เพิ่มจากการรีไฟแนนซ์บ้านจึงจำเป็นด้วยเช่นกัน ในกรณีนี้ธนาคารธนชาตเปิดโอกาสให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์สามารถขอกู้เพิ่มได้ตามเงื่อนไขวงเงิน โดยธนาคารธนชาตจะพิเศษกว่าหลายๆ ธนาคารตรงที่จะคิดดอกเบี้ยในช่วง 3 ปีแรกของวงเงินกู้เพิ่มที่อัตราดอกเบี้ยเดียวกับอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ซึ่งเมื่อเทียบกับหลายๆ ธนาคารในตลาด ณ ขณะนี้ก็ถือว่าถูกและพิเศษมากๆ
อยากขอกู้ "สินเชื่อบ้านธนชาตรีไฟแนนซ์" ต้องทำยังไง?
จากข้อมูลที่เห็นในข้างต้น เชื่อแน่ว่าหลายคนคงจะสนใจที่จะรีไฟแนนซ์กับธนาคารธนชาตแล้วใช่มั้ยคะ งั้นก็อย่ารอช้า...เรามาดูกันเลยค่ะว่า คุณสมบัติของคนที่จะขอกู้ สินเชื่อบ้านธนชาตรีไฟแนนซ์ ต้องเป็นแบบไหน? ใช้เอกสารอะไรบ้าง? เราจะมีคุณสมบัติที่จะขอกู้ได้หรือไม่? เช็คคุณสมบัติไปพร้อมกันเลยค่ะ
คุณสมบัติของผู้กู้
 บุคคลธรรมดา
 สัญชาติไทย หรือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย กรณีที่ไม่มีสัญชาติไทยต้องมีเอกสารแสดงถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย หรือใบต่างด้าว หรือมีชื่อในทะเบียนบ้าน (ทร.14)
 อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี
 มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน/คน
 อายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปี หากไม่ถึง 1 ปี ต้องมีเอกสารหรือหนังสือรับรองจากที่ทำงานเดิมมาแสดงว่ามีอายุงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี
 กรณีผู้กู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องดำเนินธุรกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี
 กรณีมีผู้กู้ร่วม ผู้กู้ร่วมต้องมีส่วนในการผ่อนชำระหนี้ และต้องเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน
 กรณี Refinance ต้องมีประวัติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินอื่นมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และบัญชีมีสถานะล่าสุด เป็นปกติ
ระยะเวลาการผ่อนชำระ
ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 30 ปี โดยกำหนดอายุผู้กู้ร่วมกับระยะเวลาที่ผ่อนชำระ ดังนี้
 อาชีพพนักงานประจำ อายุรวมไม่เกิน 65 ปี
 เจ้าของธุรกิจ / ผู้ประกอบอาชีพอิสระ อายุรวมไม่เกิน 70 ปี
ประเภทหลักประกัน
 บ้านพร้อมที่ดิน, ทาวน์เฮ้าส์, ทาวน์โฮม, โฮมออฟฟิต, อาคารพาณิชย์ และอาคารชุด (คอนโดมิเนียม)
มูลค่าหลักประกันขั้นต่ำ
 กรุงเทพและปริมณฑล 700,000 บาท
 ต่างจังหวัด 500,000 บาท

วงเงินกู้
 วงเงินอนุมัติสูงสุด 100% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย แล้วแต่อย่างใดจะต่ำกว่า
 กรณีเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าร่วมโครงการกับธนาคาร เงื่อนไขเป็นไปตามรายละเอียดของแต่ละโครงการ
หมายเหตุ : ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร

9
หมอออนไลน์: บิดชิเกลลา (Shigellosis/Bacillary dysentery)

บิดชิเกลลา (บิดไม่มีตัว) พบในคนทุกวัย ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุ 1-5 ปี มักพบในถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี หรืออยู่กันอย่างแออัด

การติดเชื้อพบได้บ่อยในสถานรับเลี้ยงเด็ก สถานพักฟื้นของผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยทางจิตเวช

บางครั้งอาจเกิดการระบาดตามหมู่บ้าน โรงเรียน โรงงาน ค่ายทหาร และมักพบมากในช่วงฤดูร้อนต่อฤดูฝน

ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ส่วนใหญ่เชื้อจะอยู่ในพาหะเพียงช่วงสั้น ๆ มักถูกขับออกหมดภายใน 4 เดือน (แต่บางราย เชื้ออาจอยู่นานถึงหลายปีก็ได้)

ส่วนผู้ป่วยที่แสดงอาการ ส่วนใหญ่อาการมักไม่รุนแรงและหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ส่วนน้อยอาจเป็นรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงถึงเสียชีวิตได้

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ชิเกลลา (Shigella) ซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ ส่วนใหญ่ติดต่อโดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โดยผ่านทางการสัมผัสมือหรือสิ่งของที่เปื้อนเชื้อ หรือจากการกินอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ (จากมือผู้ป่วยที่ไม่ได้ล้างให้สะอาดหรือแมลงวันตอม)

นอกจากนี้ ยังสามารถติดต่อโดยทางเพศสัมพันธ์ที่มีการใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาตที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระในบริเวณทวารหนัก (ซึ่งพบในหมู่ชายรักร่วมเพศ)

เชื้อชิเกลลาจะเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่อักเสบ เกิดอาการท้องเดิน ถ่ายเป็นมูกเลือด

ระยะฟักตัว 1-7 วัน (ส่วนใหญ่ 24-48 ชั่วโมง)


อาการ

ผู้ป่วยมักมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน ร่วมกับอาการปวดบิดในท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง ถ้าถ่ายรุนแรงอาจทำให้อ่อนเพลียเพราะสูญเสียน้ำกับเกลือแร่ ต่อมาอาการถ่ายเป็นน้ำทุเลาลง แต่จะปวดเบ่งที่ก้น และถ่ายเป็นมูก (หนองสีขาว) หรือมีมูกปนเลือดแบบกะปริดกะปรอย วันละ 10-30 ครั้ง ไม่มีกลิ่นเหม็น

ในเด็กเล็ก อาจมีไข้สูง ซึม และชักได้ อาการชักจะเป็นอยู่ไม่นาน และไม่มีอันตราย

อาการไข้จะเป็นอยู่ 1-2 วันก็ทุเลาไปเอง ส่วนอาการถ่ายท้องจะค่อย ๆ ห่างขึ้นภายใน 2-3 วัน และจะหายได้เองภายใน 5-7 วัน แต่บางรายอาจกลับเป็นซ้ำได้อีก

ในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อย จะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย ถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลววันละ 3-5 ครั้ง อาจมีมูกปน แล้วทุเลาไปได้เองภายใน 3-5 วัน ส่วนใหญ่จะไม่มีไข้หรือมีไข้ต่ำ


ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบได้บ่อย คือภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้

ในรายที่เบ่งถ่ายบ่อยอาจทำให้ทวารหนักโผล่ออกมาข้างนอก

ในทารกแรกเกิดถ้าติดเชื้อจากมารดาขณะคลอด อาจเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ หรือลำไส้ทะลุได้

ผู้ป่วยเอดส์ และเด็กขาดอาหาร อาจมีอาการรุนแรงขั้นโลหิตเป็นพิษ เป็นเรื้อรังหรือกำเริบได้บ่อย

ที่พบได้น้อย เช่น ข้ออักเสบจากปฏิกิริยาของร่ายกาย (reactive arthritis) ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกร่วมกับไตวาย (hemolytic-uremic syndrome) ซึ่งเกิดจากพิษ (shigatoxin) ที่เชื้อปล่อยออกมา นอกจากนี้เชื้ออาจแพร่กระจายทำให้ตับอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น

ที่อันตรายแต่พบได้น้อยมาก เช่น ภาวะลำไส้ใหญ่พอง (toxic megacolon) ลำไส้ทะลุ และเยื่อบุช่องท้องอักเสบ

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก มักตรวจพบไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียส อาจพบอาการขาดน้ำ หรือช็อก (เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ) ท้องอาจกดเจ็บเล็กน้อยตรงบริเวณกลางท้อง ท้องน้อยข้างซ้าย หรือทั่วท้อง บางรายอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ในรายที่ยังวินิจฉัยไม่ได้ชัดเจน แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น นำอุจจาระไปเพาะเชื้อ ใช้กล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนคด (sigmoidoscopy)

การรักษาโดยแพทย์

1. ที่สำคัญคือ ให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ไตรม็อกซาโซล, นอร์ฟล็อกซาซิน, โอฟล็อกซาซิน, ไซโพรฟล็อกซาซิน, อะซิโทรไมซิน (azithromycin) หรือเซฟทริอะโซน (ceftriaxone) เป็นต้น

2. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้ ถ้าอ่อนเพลียหรือมีภาวะขาดน้ำเล็กน้อยให้ดื่มน้ำเกลือผสมเอง หรือเตรียมจากผงน้ำตาลเกลือแร่ขององค์การเภสัชกรรม

ส่วนยาแก้ท้องเดินไม่จำเป็นต้องให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มยาลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ เพราะอาจทำให้เชื้ออยู่ในลำไส้นานขึ้น ทำให้โรคหายช้าหรือลุกลามได้

3. ถ้ามีภาวะขาดน้ำรุนแรงหรือช็อก มีอาการปวดท้องรุนแรง กดเจ็บรุนแรง หรือสงสัยมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น โลหิตเป็นพิษ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล นอกจากให้การรักษาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้ ให้น้ำเกลือ) แพทย์อาจจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ และแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่พบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายเป็นปกติได้ใน 5-7 วัน ส่วนน้อยที่เกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งหากรักษาได้ทันการณ์ก็จะหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจได้รับอันตรายถึงเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือดกะปริดกะปรอย ภายหลังจากมีอาการไข้ร่วมกับถ่ายเป็นน้ำนำมาก่อน หรือมีอาการท้องเดินในผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นบิดชิเกลลา ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นบิดชิเกลลา ควรดูแลรักษา ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. กินยาปฏิชีวนะตามขนาดและครบระยะเวลาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

3. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

4. ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    เบื่ออาหาร ดื่มน้ำได้น้อย อาเจียน หรือปวดท้องรุนแรง
    ซึม ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บหน้าอกมาก หรือหายใจหอบ
    ตาเหลืองตัวเหลือง
    กินยาที่แพทย์แนะนำ 2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น
    หลังกินยา มีผื่นคัน ตุ่มพุพอง ปากบวม ตาบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีความผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล


การป้องกัน

1. ดื่มน้ำต้มสุกหรือน้ำสะอาด ไม่ดื่มน้ำคลองหรือน้ำบ่อแบบดิบ ๆ ไม่กินน้ำแข็งที่เตรียมไม่สะอาด

2. กินอาหารสุกและไม่มีแมลงวันตอม

3. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร ก่อนเปิบข้าว และหลังถ่ายอุจจาระหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก

4. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ อย่าถ่ายลงคลอง หรือตามพื้นดิน

5. สำหรับชายรักร่วมเพศ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาต


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรหยุดเรียนหรือหยุดงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการเกี่ยวกับอาหาร (เช่น คนครัว บริกร เป็นต้น) ในร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงพยาบาล สถานพักฟื้น โรงเรียน หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก จำเป็นต้องหยุดงานจนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อในอุจจาระ ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้แพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่น

2. อาการไข้ ปวดท้อง ถ่ายเป็นน้ำ แล้วต่อมาถ่ายเป็นมูกเลือด อาจเกิดจากเชื้อวิบริโอพาราฮีโมไลติคัส ซึ่งพบในผู้ที่กินอาหารทะเล (เช่น หอยนางรม) แบบดิบ ๆ (ดู "โรคอาหารเป็นพิษจากเชื้อโรค" เพิ่มเติม)

10
การกำหนดชนิดและขนาดของท่อลมร้อน ที่นิยมใช้ในโรงงาน

การกำหนดชนิดและขนาดของท่อลมร้อนที่นิยมใช้ในโรงงานไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเฉพาะของแต่ละกระบวนการ แต่โดยทั่วไปแล้ว เราจะพิจารณาจาก อุณหภูมิ, แรงดัน, ปริมาณลมที่ต้องการ, สารปนเปื้อนในลม, และสภาพแวดล้อม เป็นหลักครับ

1. ชนิดของวัสดุท่อที่นิยมใช้ (Common Duct Materials)

การเลือกวัสดุเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะต้องทนทานต่อสภาวะการทำงานของลมร้อนได้ดี:

เหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon Steel - CS):

คุณสมบัติ: ราคาถูก, หาซื้อง่าย, เชื่อมง่าย
การใช้งาน: เหมาะสำหรับระบบท่อลมร้อนที่มีอุณหภูมิไม่สูงมากนัก (โดยทั่วไปไม่เกิน 400-450°C หรือ 750-840°F) และไม่มีสารกัดกร่อนในลม
ข้อควรระวัง: มีโอกาสเกิดสนิมและผุกร่อนได้ง่ายหากมีความชื้นหรือสารกัดกร่อนสัมผัส หากใช้ในที่ที่อาจเกิด Corrosion Under Insulation (CUI) ควรพิจารณาการเคลือบผิวหรือเลือกวัสดุอื่น

สเตนเลสสตีล (Stainless Steel - SS):

คุณสมบัติ: ทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดีกว่าเหล็กกล้าคาร์บอน, ทนอุณหภูมิได้สูงกว่า, มีสุขอนามัยที่ดี (สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร/ยา)
เกรดที่นิยม:
SS304/304L: นิยมใช้กันมากที่สุด ทนการกัดกร่อนได้ดีพอสมควร ทนอุณหภูมิได้สูงประมาณ 800-850°C (1,470-1,560°F) โดยที่เกรด L (Low Carbon) จะเหมาะกับงานเชื่อมมากกว่า
SS316/316L: ทนการกัดกร่อนได้ดีกว่า SS304 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีคลอไรด์ (Chlorides) ทนอุณหภูมิได้ใกล้เคียงกับ SS304
SS309, SS310/310S: สำหรับการใช้งานที่อุณหภูมิสูงมากเป็นพิเศษ (อาจถึง 1,100-1,200°C หรือ 2,000-2,200°F) เนื่องจากมีปริมาณโครเมียมและนิกเกิลสูง ทำให้ทนทานต่อการเกิดออกซิเดชัน (Oxidation) ได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับเตาอบหรือกระบวนการที่มีอุณหภูมิสูงจัด
การใช้งาน: ระบบท่อลมร้อนที่มีอุณหภูมิสูง, มีความชื้นหรือสารกัดกร่อนปนเปื้อนในลมร้อน, หรือต้องการความสะอาดสูง

โลหะผสมพิเศษ (High-Nickel Alloys / Superalloys):

คุณสมบัติ: ทนอุณหภูมิได้สูงมาก, ทนทานต่อการกัดกร่อนรุนแรง, ทนทานต่อการคืบ (Creep) ได้ดีเยี่ยม
ตัวอย่าง: Inconel, Hastelloy, Monel
การใช้งาน: สำหรับสภาวะที่รุนแรงและมีอุณหภูมิสูงจัดเป็นพิเศษ (เกิน 1,200°C) หรือมีสารเคมีกัดกร่อนรุนแรงที่สเตนเลสสตีลทนไม่ไหว มักมีราคาสูงมาก


2. การกำหนดขนาดท่อ (Duct Sizing)

การกำหนดขนาดท่อที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ปริมาณลมตามต้องการ โดยมีการสูญเสียแรงดันที่ยอมรับได้และประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดี:

ปัจจัยหลักในการคำนวณ:

ปริมาณลมร้อนที่ต้องการ (Air Flow Rate): นี่คือหัวใจสำคัญในการกำหนดขนาดท่อ ยิ่งต้องการปริมาณลมมาก ท่อก็ยิ่งต้องใหญ่ขึ้น
อุณหภูมิของลมร้อน: มีผลต่อความหนาแน่นของลม ซึ่งจะนำไปสู่การคำนวณความเร็วลมที่เหมาะสม
ความเร็วลมที่เหมาะสม (Recommended Air Velocity):
เป็นค่าที่สำคัญในการออกแบบ หากความเร็วลมสูงเกินไปจะทำให้เกิดการสูญเสียแรงดันสูง, เกิดเสียงดัง, และอาจทำให้ท่อสึกหรอได้ง่าย
หากความเร็วลมต่ำเกินไป ท่อจะมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น ทำให้สิ้นเปลืองวัสดุและใช้พื้นที่มาก
ช่วงความเร็วลมที่นิยม:
ท่อหลัก (Main Ducts): ประมาณ 10 - 20 เมตร/วินาที (m/s) หรือ 2,000 - 4,000 ฟุต/นาที (fpm)
ท่อสาขา (Branch Ducts): ประมาณ 7 - 15 เมตร/วินาที (m/s) หรือ 1,400 - 3,000 ฟุต/นาที (fpm)
ข้อควรจำ: สำหรับลมร้อนที่อุณหภูมิสูงมาก ความเร็วลมที่แนะนำอาจต้องปรับลดลงเล็กน้อยเพื่อลดการสูญเสียความร้อนจากการพาความร้อน (convective heat loss) และลดความเค้นบนท่อ
การสูญเสียแรงดันที่ยอมรับได้ (Allowable Pressure Drop): การออกแบบท่อต้องคำนึงถึงแรงดันที่ลดลงตามแนวท่อและข้อต่อ เพื่อให้พัดลมที่เลือกมีกำลังเพียงพอที่จะส่งลมไปถึงจุดใช้งาน

รูปทรงของท่อ:

ท่อกลม (Circular Ducts):
ข้อดี: มีประสิทธิภาพการไหลดีที่สุด (แรงดันตกน้อยที่สุดสำหรับพื้นที่หน้าตัดเท่ากัน), มีความแข็งแรงทางโครงสร้างดีกว่าท่อเหลี่ยม (ทนแรงดันได้ดีกว่า), ใช้ฉนวนง่ายกว่า
การใช้งาน: นิยมใช้มากที่สุดในระบบท่อลมร้อน
ท่อเหลี่ยม/สี่เหลี่ยม (Rectangular Ducts):
ข้อดี: ประหยัดพื้นที่ในบางกรณี, ติดตั้งง่ายในพื้นที่จำกัด
ข้อเสีย: แรงดันตกมากกว่าท่อกลมที่มีพื้นที่หน้าตัดเท่ากัน, ต้องเสริมความแข็งแรงหากท่อมีขนาดใหญ่ (โดยเฉพาะสำหรับแรงดันสูง), การหุ้มฉนวนอาจทำได้ยากกว่า


3. การพิจารณาอื่นๆ ที่สำคัญในการเลือก/กำหนดขนาด

ฉนวนกันความร้อน (Insulation): ต้องเลือกชนิดและกำหนดความหนาของฉนวนที่เหมาะสมกับอุณหภูมิและสภาพแวดล้อม เพื่อลดการสูญเสียความร้อนและป้องกันการไหม้
Expansion Joints/Loops: สำหรับท่อลมร้อน อุณหภูมิที่สูงจะทำให้เกิดการขยายตัวทางความร้อนอย่างมาก การออกแบบต้องรวม Expansion Joints หรือ Expansion Loops เพื่อรองรับการเคลื่อนที่นี้ ป้องกันความเค้นสะสมและรอยรั่ว
ระบบรองรับท่อ (Pipe Supports): ต้องแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักของท่อและฉนวน รวมถึงการเคลื่อนที่ของท่อเมื่อมีการขยายตัว/หดตัว
ความปลอดภัยและมาตรฐาน: การเลือกชนิดและขนาดท่อต้องเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง (เช่น ASME, NFPA) และกฎหมายท้องถิ่น

การเลือกชนิดและกำหนดขนาดของท่อลมร้อนเป็นงานที่ซับซ้อน ควรปรึกษาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านระบบท่อลมร้อนโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้การออกแบบที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับโรงงานของคุณครับ

11
เด็กที่มีรูปหน้าสั้น แก้ไขด้วยการจัดฟันเด็กได้หรือไม่

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเด็กส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งการดูดนิ้วเป็นพัฒนาการปกติของเด็กเล็ก เป็นพฤติกรรมที่เด็กใช้ในการปลอบตนเองหรือเป็นการกระตุ้นตัวเอง สามารถพบภาวะนี้ได้ตั้งแต่ในครรภ์ วัยทารกพบภาวะดังกล่าวได้ถึงร้อยละ 80 ของเด็กทั้งหมด และจะลดลงจนเหลือประมาณร้อยละ 30-45 ในเด็กวัยก่อนเรียน อย่างไรก็ตาม การดูดนิ้วที่มากเกินไปในเด็กที่อายุมากกว่า 4 ปี อาจนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปัญหาช่องปากและฟัน การสบฟันผิดปกติ กระดูกใบหน้าเจริญผิดปกติหรือพูดไม่ชัด  ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความมั่นใจ และปัญหาในเรื่องขอสุขภาพช่อช่องปากและฟันในอนาคตได้ แต่ที่แน่นอนก็คือ พฤติกรรมดูดนิ้ว หรือดูดขวดนมในเด็กนั้น  ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันโดยตรง และยังส่งผลทำให้เด็กมีกระดูกใบหน้าที่เจริญเติบโตแบบผิดปกติด้วย ส่งผลให้เด็กอาจจะมีรูปหน้าสั้นได้


ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก จึงสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการจัดฟันในเด็กช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดียิ่งขึ้นได้ ในปัจจุบัน การจัดฟันได้มีการพัฒนาให้สามารถจัดฟันในเด็กได้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่อายุ4-10 ปี โดยการจัดฟันของเด็กในวัยนี้ เป็นการจัดฟันที่ใช้เครื่องมือการจัดฟันที่เรียกว่า EF LINE ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่จะมากน้อยตามแต่ช่วงอายุของเด็ก ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต โดยเครื่องมือ EF LINE มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า เป็นต้น

สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงปัญหาความผิดปกติของโครงสร้างของใบหน้าเด็ก ที่มีรูปหน้าสั้น อันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมในวันเด็กที่ชอบดูดนิ้ว ดูขวดนมเป็นนิสัย ซึ่งปัญหาดังกล่าว ก็เป็นที่กังวลใของพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน ซึ่งการแก้ไขปัญหาที่พ่อแม่สามารถทำได้ก็คงจะเป็นเรื่องของการทำให้เด็กเลิกดูดนิ้ว ดูดขวดนม เป็นเวลานานซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครอง สามารถสอนให้เด็กใช้แก้วน้ำแทนการดูดขวดนมได้ แต่ถ้าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ทัน


แน่นอนว่าเมื่อลูกมีโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติ การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว อย่างที่ทราบกันดีว่า การจัดฟันในเด็กด้วยเครื่องมือ EF LINE สามารถช่วยแก้ไขในเรื่องของปัญหาสุขภาพฟันในเด็กเล็กได้ และยังสามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างของใบหน้าของเด็กได้ด้วย เพราะเครื่องมือ EF LINE นั้น สามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง   

เพราะฉะนั้นหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า จะต้องเข้ารับการแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เพราะกล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้น การเข้ารับการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อ ปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการปรับการกลืนให้ถูกต้อง ด้วยเครื่องมือ EF line จึงมีประสิทธิภาพมากยกตัวอย่างเช่น ปัญหาการกลืนที่ผิดปกติ ในขณะกลืนผู้ป่วยจะยื่นลิ้นออกมาอยู่ระหว่างปลายฟันหน้าบนและล่าง ต้องพิจารณาจากขนาดของลิ้น โดยลิ้นอาจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ เนื่องจากโรคทางระบบและตำแหน่งของลิ้นในขณะพักตำแหน่งของลิ้นที่ปกติอาจเป็นผลจากขบวนการปรับตัว มักพบในคนไข้ภูมิแพ้ มีการอุดตันของช่องจมูก ขากรรไกรบนแคบมาก ความสูงของใบหน้ามากผิดปกติควรมาพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข ฟันหน้าห่าง การสบฟันหลังคร่อม การพูดออกเสียงไม่ชัด และเกิดการพัฒนาใบหน้าแนวดิ่งมากกว่าปกติ อาการเหล่านี้ถือว่าส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก ดังนั้น ถ้าเด็กมีความผิดปกติ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อทำการแก้ไข

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจ พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีหากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กต่อสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกไอดอลสมายเพราะคลินิกของเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์อย่างยาวนานจึงทำให้สามารถแนะนำหรือแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างถูกวิธี

นอกจากนี้ ทันตแพทย์ของเรายังสามารถช่วยประเมินปัญหาและแนะนำแนวทางการแก้ไขได้อย่างตรงจุด สามารถแนะนำวิธีการรักษาโดยยึดหลักปัญหาฟันของเด็กเพื่อให้เด็กได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เพราะเราอยากให้เด็กเด็กทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีบุคลิกภาพที่น่ารักสดใสสมวัย มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่เสริมสร้างพัฒนาการของเด็กและทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

12
motor show 2025: Mazda ปรับค่าแรงมาตรฐานใหม่ พร้อมเปิดตัวโปรแกรม Mazda Warranty Plus ขยายการรับประกันคุณภาพอะไหล่เพิ่มเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร

มาสด้า ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดด้านบริการหลังการขาย ด้วยนโยบายการปรับค่าแรงมาตรฐานใหม่ทั่วประเทศ เป็น 600 บาท/ชม. สำหรับต่างจังหวัด และ 680 บาท/ชม. สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อมอบความสบายใจไร้กังวลให้กับลูกค้า Mazda Family เมื่อนำรถมาเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาสด้าทั่วประเทศ พร้อมเปิดตัวโปรแกรมพิเศษ Mazda Warranty Plus ต่อความคุ้มครอง เพื่อคนแคร์รถ ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพอะไหล่รถยนต์จาก 3 ปี เป็น 5 ปี* อันเป็นสิทธิพิเศษที่จัดขึ้นภายใต้โปรแกรม Mazda Family และตอกย้ำถึงการนำปรัชญาใหม่ Joy Drives Lives เข้ามาพัฒนาและปรับปรุงแผนการดำเนินธุรกิจมาสด้าตามแนวทาง Customer-Centric โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้าในทุก ๆ ประสบการณ์ เพื่อเป็นการคุ้มครองดูแลรถยนต์มาสด้าคันโปรดของลูกค้าให้เป็นไปอย่างราบรื่นตลอดอายุการใช้งาน

นายศราวุฒิ บรรยงค์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้ามีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นและเป็นไปอย่างครบวงจรให้กับลูกค้า เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention ตามความมุ่งมั่นของเรา โดยในปีงบประมาณ 2568 นี้ มาสด้าจะขับเคลื่อนงานบริการหลังการขายด้วยกลยุทธ์หลัก 4C ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการคำนึงถึงสิทธิประโยชน์สูงสุดของลูกค้าที่จะได้รับ อันประกอบด้วย
Credibility ความน่าเชื่อถือ เพื่อลดความกังวลใจให้กับลูกค้าในการครอบครองรถยนต์มาสด้า      ด้วยการยกระดับความสามารถด้านการจ่ายอะไหล่ การซ่อมบำรุง และปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์

Convenience ความสะดวกสบาย เพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการเข้ารับบริการที่โชว์รูม
Customer Care การดูแลเอาใจใส่ เพื่อสร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า
Cost of Ownership ลดภาระค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถยนต์มาสด้าที่สมเหตุสมผล เพื่อช่วยลดความกังวลใจในเรื่องค่าใช้จ่ายของลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ครอบครองรถยนต์มาสด้า
เพื่อผลักดันนโยบายเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นและเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า มาสด้าจึงได้นำเอาข้อเสนอแนะของลูกค้ามาพัฒนาคุณภาพการให้บริการ และได้ออกแบบนโยบายหลังการขายใหม่ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด สำหรับลูกค้า Mazda Family เมื่อนำรถมาเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาสด้าทั่วประเทศ ลูกค้าจะได้รับความสบายใจในเรื่องของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการบำรุงรักษา ด้วยสิทธิพิเศษเหล่านี้
นโยบายการปรับค่าแรงใหม่ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ค่าแรง 600 บาท/ชม. สำหรับโชว์รูมต่างจังหวัด* และค่าแรง 680 บาท/ชม. สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล* โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถตามระยะ และเช็กพื้นที่ศูนย์บริการมาตรฐานมาสด้า และอัตราค่าแรงมาตรฐานใหม่ได้ที่เว็บไซต์มาสด้า

มอบความมั่นใจในทุกการดูแล โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ พร้อมอะไหล่แท้คุณภาพจากมาสด้า
เปิดตัวโปรแกรมพิเศษ Mazda Warranty Plus ต่อความคุ้มครอง เพื่อคนแคร์รถ เมื่อนำรถเข้าเช็กระยะต่อเนื่องตามกำหนด*

“สำหรับโปรแกรมพิเศษ Mazda Warranty Plus เป็นโปรแกรมที่มาสด้าริเริ่มขึ้นใหม่ เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า Mazda Family ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพอะไหล่รถยนต์จาก 3 ปี เป็น 5 ปี* สำหรับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ท่อนตรง เกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา เทอร์โบชาร์จเจอร์ และคาปาซิเตอร์ โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมเล็กน้อยคือเป็นรถยนต์ที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี หรือไม่เกิน 150,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และมีประวัติการเข้าเช็กตามระยะครบตามกำหนดทุก 6 เดือน หรือทุก 10,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ครบทุกระยะ ซึ่งลูกค้าสามารถลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิพิเศษนี้ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568

มาสด้ายังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมเตรียมแผนงานในการนำเสนอโปรแกรมเพื่อมอบสิทธิพิเศษดี ๆ เช่นนี้ให้กับลูกค้าต่อไป สำหรับลูกค้า Mazda Family ที่ต้องการรับข้อมูลข่าวสารและสิทธิพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อลูกค้าก่อนใคร สามารถเพิ่มเพื่อนผ่านแพลตฟอร์มไลน์ Mazda Sky Journey (Line Official Account: @skyjourney) นอกจากจะสามารถเช็กสิทธิพิเศษนี้ได้ก่อนใครแล้ว ลูกค้ายังสามารถทำการจองนัดหมายล่วงหน้า เพื่อนำรถเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์บริการมาสด้าทั่วประเทศผ่านแพลตฟอร์มนี้ได้เช่นกัน

13
ซ่อมบำรุงอาคาร: เคล็ดลับเปิดแอร์ให้ประหยัดค่าไฟ!?

ในประเทศไทยของเรานั้น มีอากาศที่ร้อนอบอ้าวตตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะอยู่ในหน้าฝนหรือหน้าหนาว แต่อากาศก็ยังร้อนได้ตลอด ยิ่งเข้าหน้าร้อนทุกปี ยิ่งร้านไปอีกเป็นทวีคุณ ดังนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกที่หลายบ้านขาดไม่ได้นั่นก็คือ แอร์ ซึ่งกลายเป็นสิ่งขาดไม่ได้ ยิ่งออกนอกห้องแอร์ทีไร ก็ทำให้ร้อนเหงื่อไหลไคลย้อย อาจจะทำให้อารมณ์หงุดหงิดไม่เป็นอันทำงานทำการได้ แต่แม้ว่าจะเปิดแอร์ให้เย็นสบายใจ ก็ต้องมากังวลใจกับค่าไฟที่พุ่งสูงตามอุณหภูมิ เพราะแอร์ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลืองไฟมากชนิดหนึ่ง แถมยังต้องมานั่งเสียเงินค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างแพงในการล้างทำความสะอาดแอร์ในแต่ละครั้ง

แต่การล้างแอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งที่ช่วยให้ประหยัดค่าไฟในการใช้งานไปได้เยอะ เพราะเมื่อเราใช้แอร์ไปนานๆก็ จะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปในตัวแอร์ และเมื่อสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้แอร์ไม่ค่อยเย็น ทำงานหนัก กินไฟมากกว่าเดิมนั่นเอง และถ้าฝุ่นละอองเข้าไปอุดตันในท่อน้ำแอร์ก็จะทำให้แอร์มีน้ำหยด การล้างแอร์เบื้องต้นด้วยการทำความสะอาดแผ่นกรองหยาบก็สามารถช่วยให้แอร์กลับมาทำงานได้ดีขึ้น หรือจะให้ช่างแอร์มาล้างให้สะอาดเอี่ยมอ่องก็จะทำให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งยิ่งขึ้น และวันนี้เราจะมาพูดถึงเคล็ดลับเปิดแอร์ให้ประหยัดค่าไฟ โดยไม่ต้องปวดหัวกับค่าไฟที่แสนแพงในช่วงสิ้นเดือน เพื่อลดภาระค่าใช้งานในส่วนนี้ไปได้เยอะเลยทีเดียว

สำหรับวิธีการเปิดแอร์ให้ประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อนก็มีหลากหลายวิธี ซึ่งวิธีแรกอย่างที่เราทราบกันก็คือ การล้างทำความสะอาดแอร์ เพื่อให้แอร์มีความสะอาด ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยรักษาอายุการใช้งานแอร์ของเราอีกด้วย หลายคงประสบปัญหาที่ว่า แม้จะลดอุณหภูมิแอร์แล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกเย็น นั่นเป็นเพราะว่ามีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่เข้าไปในแอร์เป็นจำนวนมาก นอกจากลดอุณหภูมิยังไงแอร์ก็ไม่เย็น แอร์ยังทำงานหนักขึ้นและกินไฟมากอีกด้วย ดังนั้น การล้างแอร์แบบจัดเต็ม คือ การถอดล้างโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ด้วย


วิธีต่อมาคือ การตั้งอุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเล็กน้อย หลายคนมีความเข้าใจว่าอุณหภูมิแอร์ 25 องศาคืออุณหภูมิที่ประหยัดไฟที่สุด ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะความจริงแล้วระดับอุณหภูมิ 25 องศาที่คือระดับอุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกสบายที่สุด จึงมีการแนะนำให้ตั้งระดับอุณหภูมิแอร์ที่ 25 องศา แต่ถ้าใครลองปรับเพิ่มอุณหภูมิเป็น 26-27 องศาแล้วยังรู้สึกสบายตัวอยู่ แนะนำให้ปรับอุณหภูมิขึ้นเล็กน้อย แอร์ก็จะทำงานน้อยลง ช่วยให้ประหยัดพลังงานและประหยัดค่าไฟ ถ้าตอนกลางวันอากาศร้อนไม่ไหวจริงๆ อาจจะลองปรับอุณหภูมิเฉพาะในเวลากลางคืนที่อากาศร้อนน้อยกว่า แล้วตั้งเวลาปิดแอร์ 1 ชั่วโมงก่อนตื่นนอน  แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าไฟได้แล้ว วิธีต่อมาคือ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ให้ความร้อน ในขณะที่เปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะหน้าที่หลักของแอร์ คือการทำให้ห้องนั้นมีอุณหภูมิลดลง เพื่อได้อากาศที่เย็นสบาย การนำเครื่องใช้ไฟฟ้า

ประเภทที่ให้ความร้อน ไปใช้ในห้องนั้น จึงเป็นสิ่งที่ทำให้แอร์ ต้องทำงานหนักขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น การปรุงอาหารด้วยกระทะไฟฟ้า การใช้หม้อต้มน้ำร้อน หรือจะเป็นการใช้เตารีดก็ตาม ซึ่งถ้าหากหลีกเลี่ยงได้ ก็จะเป็นการช่วยให้เครื่องปรับอากาศ ทำงานลดลงได้เยอะเลย และที่สำคัญเราควรหลีกเลี่ยงใช้แอร์ในห้องพื้นที่เปิด เพราะการเปิดแอร์ในห้องที่เปิดโล่งอย่างห้องโถง ที่มีทางขึ้นบันได ทางเดินไปห้องอื่นๆ ไม่มีประตูกั้น นอกจากแอร์ไม่ค่อยเย็นแล้ว ยังทำให้แอร์ต้องทำงานหนักกว่าปกติและค่าไฟเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้น จึงควรเปิดแอร์ในห้องที่เป็นพื้นที่ปิด หรือถ้าจำเป็นต้องใช้แอร์ในห้องโถงจริงๆ ก็ควรติดตั้งฉากกั้นพื้นที่แบบเปิดปิด กั้นทางขึ้นบันได และทางเดินไปห้องอื่นๆ รวมถึงปิดหน้าต่าง ม่านให้เรียบร้อย


ซึ่งม่านก็ช่วยลดอุณหภูมิจากแสงดอาทิตย์ภายนอก แอร์ทำงานน้อยลง ประหยัดพลังงานและค่าไฟได้เยอะเลยทีเดียว หรือจะใช้อีกหนึ่งที่หลายบ้านมักจะทำกันนั่นก็คือ การใช้พัดลมช่วย เพราะการเปิดพัดลมไล่ความร้อนในห้องก่อนเปิดแอร์จะช่วยลดความอุณหภูมิความร้อนภายในห้อง ทำให้ตอนเปิดแอร์ไม่ต้องทำงานหนักมาก ยิ่งถ้าเปิดพัดลมช่วยในระหว่างที่เปิดแอร์จะช่วยให้ความเย็นจากแอร์กระจายไปทั่วห้อง และถึงแม้จะปรับอุณหภูมิเพิ่มเป็น 26-27 องศา การเปิดพัดลมช่วยจะทำให้แอร์เย็นสบายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือประหยัดไฟกว่าเดิมได้

ทั้งนี้ ทางเราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสม หรือก่อนติดตั้งควรดูจากหลายปัจจัยที่จะทำให้แอร์ของเรามีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ถ้ามีข้อสงสัยหรืออยากปรึกษาเกี่ยวกับการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นในอาคาร สำนักงาน หรือในบ้าน  ก็สามารถปรึกษาเราได้ ทางเรามีบริการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ที่มีคนจำนวนมาก เพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากยิ่งขึ้น

14
หมอออนไลน์: ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ (Spinal cord injury)

การบาดเจ็บที่บริเวณคอหรือหลัง อาจทำให้ประสาทไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นเหตุให้เกิดอาการอัมพาตของแขนขาทั้ง 4 ข้าง (quadriplegia) หรือขา 2 ข้าง (paraplegia) ส่วนใหญ่พบเป็นภาวะแทรกซ้อนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร และการตกจากที่สูง มักพบในผู้ชายอายุ 15-35 ปี

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุร้ายแรง ได้แก่ รถชน รถคว่ำ ตกจากที่สูง ถูกของหนักหล่นทับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการถูกยิง ถูกแทงเข้าไขสันหลัง ทำให้ประสาทไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน ฟกช้ำ เลือดออกหรือฉีกขาด ทำให้เกิดอาการอัมพาตของแขนขา 2 ข้างทันที

อาการ

ถ้าบาดเจ็บตรงระดับเอว ขาทั้ง 2 ข้างมักจะชา กระดุกกระดิกไม่ได้ ถ่ายปัสสาวะและอุจจาระเองไม่ได้ อวัยวะเพศทำงานไม่ได้ เช่น องคชาตไม่แข็งตัว

ถ้าบาดเจ็บตรงระดับคอ จะมีอาการอัมพาตของแขนทั้ง 2 ข้างร่วมกับขาทั้ง 2 ข้าง และถ้ากระทบกระเทือนถูกส่วนที่ควบคุมการหายใจ ผู้ป่วยจะหายใจไม่ได้ และถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออาจเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะมีความรู้สึกตัวดีเหมือนคนปกติ


ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตนาน ๆ อาจมีแผลกดทับ (bed sores) หรืออาจเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น ปอดอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ) ได้ง่าย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบขา 2 ข้าง หรือแขนขาทั้ง 4 ข้างเป็นอัมพาตและชา (ไม่รู้สึกเจ็บเวลาถูกเข็มจิ้ม)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์กระดูกสันหลัง ถ่ายภาพไขสันหลังด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ถ่ายภาพรังสีไขสันหลังโดยการฉีดสารทึบรังสี (myelography) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการและการรักษาแบบประคับประคอง เช่น ถ้ากินอาหารไม่ได้ ให้น้ำเกลือ หรือให้อาหารทางสายยางหรือทางหลอดเลือดดำ, ถ้าหายใจไม่ได้ ใช้เครื่องช่วยหายใจ, ถ้าปัสสาวะไม่ได้ ใส่สายสวนปัสสาวะ เป็นต้น

แพทย์จะให้สเตียรอยด์ฉีดเข้าหลอดเลือดดำเพื่อลดอาการบวม ช่วยให้ฟื้นตัวดีขึ้น ถ้าจะให้ได้ผลดีต้องให้ภายใน 8 ชั่วโมงหลังบาดเจ็บ และให้ติดต่อกันนาน 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ จะทำการรักษาโดยใช้น้ำหนักดึงถ่วง (traction) ให้ข้อกระดูกที่เคลื่อนเข้าที่ หรือป้องกันไม่ให้ข้อกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือกดทับไขสันหลัง บางรายอาจต้องทำการผ่าตัดสันหลัง เพื่อแก้ไขความผิดปกติและทำการเชื่อมต่อข้อกระดูกสันหลัง

ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลอยู่นาน หลังจากนั้นแพทย์จะทำการฟื้นฟูสภาพด้วยกายภาพบำบัด และใช้อุปกรณ์หรือรถเข็นช่วยในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้าไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือนหรือบาดเจ็บไม่มาก ก็มีโอกาสฟื้นคืนความแข็งแรงได้ โดยสังเกตว่า ถ้าผู้ป่วยสามารถขยับแขนขาและมีความรู้สึกเจ็บกลับคืนมาภายใน 1 สัปดาห์ก็อาจมีทางหายได้

แต่ถ้าประสาทไขสันหลังถูกทำลาย อาการอัมพาตก็มักจะเป็นอย่างถาวร โดยที่อาการจะไม่ดีขึ้นเลยภายหลังบาดเจ็บ 6 เดือนไปแล้ว

ในรายที่มีการบาดเจ็บตรงคอ ซึ่งมีอาการอัมพาตหมดทั้งแขนขา 4 ข้าง และไม่สามารถหายใจได้เอง หากเป็นอัมพาตอย่างถาวร ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประทังชีวิต ผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้ระยะหนึ่ง และมักเสียชีวิตด้วยภาวะติดเชื้อ (เช่น ปอดอักเสบ) แทรกซ้อน


การดูแลตนเอง

หากได้รับบาดเจ็บรุนแรงตรงบริเวณคอหรือหลัง ควรทำการปฐมพยาบาลและรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

เมื่อได้รับการรักษาจนสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    กินยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ฝึกทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์/นักกายภาพบำบัด
    ในกรณีที่นอนติดเตียง ควรใช้ที่นอนที่ลดแรงกดทับ (เช่น ที่นอนน้ำ ที่นอนลม) และผู้ดูแลควรทำการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันแผลกดทับ
    ระมัดระวังในการป้อนอาหารแก่ผู้ป่วย อย่าให้สำลัก
    ถ้ามีสายสวนปัสสาวะ หรือสายป้อนอาหาร (ที่ใส่ผ่านจมูกเข้าไปที่กระเพาะอาหาร) ควรดูแลให้สะอาดปลอดภัยตามตามคำแนะนำของแพทย์/พยาบาล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หนาวสั่น ท้องเดิน หรืออาเจียน
    ปวดศีรษะรุนแรง สับสน ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว หรือหายใจหอบหรือลำบาก
    กินอาหาร หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มีแผลกดทับเกิดขึ้น
    ยาหายหรือขาดยา
    มีอาการสงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม เหนื่อยหอบ หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
    มีความวิตกกังวล

การปฐมพยาบาลสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่คอและหลัง

1. ถ้าผู้ป่วยหายใจไม่ได้เนื่องจากไขสันหลังส่วนคอได้รับบาดเจ็บ ให้ทำการผายปอดด้วยการเป่าปากจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล

2. ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ควรกระทำดังนี้

    ห้ามยก แบก หรือหามผู้ป่วยโดยตรง อาจทำให้ไขสันหลังได้รับอันตรายมากยิ่งขึ้น
    พยายามให้ผู้ป่วยนอนราบ ให้ศีรษะ คอ และลำตัว ตั้งอยู่ในแนวตรงกันเสมอ ถ้าจำเป็นต้องขยับตัวผู้ป่วยให้ใช้ผู้ช่วยอย่างน้อย 3 คน ขยับศีรษะ คอ ลำตัวไปพร้อม ๆ กัน โดยพยายามให้ทุกส่วนอยู่ในแนวที่ตรงกัน (อย่าให้บิดเบี้ยว)
    เคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยให้ผู้ป่วยนอนหงายบนแผ่นกระดานแข็ง ๆ (เช่น โต๊ะ บานประตู) พันตัวผู้ป่วยไว้กับแผ่นกระดาน เพื่อป้องกันมิให้ผู้ป่วยพลิกตัว
    ถ้าสงสัยกระดูกต้นคอหัก ควรใช้กระดาษแข็ง หนังสือพิมพ์ หรือผ้าพับม้วนเป็นทบแล้วสอดเข้าใต้คอผู้ป่วย ทำเป็นปลอกคอใส่ไว้ เพื่อป้องกันมิให้คอขยับเขยื้อนเกิดอันตรายได้ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยให้นอนหงายบนแผ่นกระดานแข็ง และวางถุงทรายหรืออิฐขนาบระหว่างคอผู้ป่วยเพื่อมิให้ผู้ป่วยเอี้ยวหรือบิดคอ


การป้องกัน

การป้องกันไม่ให้ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บที่สำคัญก็คือ การป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุจราจร และการตกจากที่สูง

ข้อแนะนำ

1. เมื่อพบผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บตรงบริเวณคอหรือหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงสัยอาจมีกระดูกคอหรือกระดูกหลังหัก หรือไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน ควรระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อป้องกันมิให้ไขสันหลังได้รับอันตรายมากขึ้น

2. ผู้ป่วยไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ มักได้รับการรักษาจนปลอดภัย แต่อาจมีความพิการ เดินไม่ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักมีความรู้สึกท้อแท้ ซึมเศร้า ควรให้การดูแลปัญหาด้านจิตใจควบคู่กับด้านร่างกายพร้อม ๆ กันไป หาทางปลอบขวัญและให้กำลังใจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พบปะแลกเปลี่ยนกับกลุ่มผู้ป่วยแบบเดียวกัน (กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน) เพื่อให้การช่วยเหลือและส่งเสริมกำลังใจซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังมีสติปัญญา และมือ 2 ข้างเป็นปกติดี สามารถนั่งรถเข็นหรือขับรถเดินทางไปไหนมาไหน ทำงานด้วยมือ 2 ข้าง มีอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีได้

15
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


หน้า: [1] 2 3 ... 44