หากถามว่าอะไรคือสิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อบ้านมากที่สุด แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ย่อมพูดถึง ‘ทำเล’ เป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน เพราะการเลือกซื้อบ้านอาจจะสามารถเปลี่ยนแบบบ้านได้จากการปรับปรุงต่อเติมในภายหลัง แต่คงไม่สามารถเปลี่ยนทำเลได้
แต่ก็ใช่ว่าทำเลที่ดีในสายตาคนทั่วไปนั้นจะเหมาะกับทุกคน ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านจึงควรจะต้องพิจารณาทำเลที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงจำนวนสมาชิกของครอบครัว
การเลือกซื้อบ้านทำเลไหนเหมาะกับใคร
ซื้อบ้านให้เหมาะกับผู้อยู่ ประโยคนี้คือประโยคที่สามารถรวบรัดหลักการเลือกซื้อบ้านได้ครบถ้วนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นราคาที่เหมาะสมกับกำลังเงินในกระเป๋า จำนวนของสมาชิกในครอบครัว หรือทำเลที่เข้ากันได้กับการใช้ชีวิตแบบพอดิบพอดี ซึ่งหากลองนำทั้ง 3 ปัจจัยมาบวกกันแล้ว ก็น่าจะพอรู้ว่าบ้านที่เหมาะกับเราจะอยู่ทำเลไหนและหน้าตาเป็นอย่างไร
1. การเลือกซื้อบ้านในทำเลที่เหมาะกับคนทำงาน
สำหรับคนทำงาน แน่นอนว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องการเดินทางไปทำงานอย่างไรให้สามารถแสกนนิ้วมือทันเวลาเข้างาน ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านในทำเลที่เหมาะกับคนทำงาน จึงควรเลือกทำเลที่สามารถเดินทางไปถึงที่ทำงานได้อย่างสะดวก ไม่ต้องต่อรถหลายรอบ หรือสามารถขับรถไปถึงได้ระยะเวลาไม่นาน
คำตอบจากตัวเลือกยอดนิยมในการเลือกซื้อบ้านของวัยทำงานส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่มองหาบ้านสำหรับอยู่คนเดียว หรือคนโสด จึงออกมาเป็นการซื้อคอนโด เพราะมักตั้งอยู่ในทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้า และมีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่พอเหมาะสำหรับการอยู่คนเดียว สามารถเข้าถึงแหล่งงานได้อย่างสะดวก
โดยควรเลือกทำเลคอนโดที่ใช้ระยะเวลาเดินทางไม่เกิน 30-60 นาที ไม่ต่อรถหรือเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าหลายรอบ เช่นทำเลรถไฟฟ้าสายหลัก ได้แก่ รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว (สายสีลม และสายสุขุมวิท) และรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน เป็นต้น
แต่สำหรับคนที่มองหาบ้าน ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในทำเลที่ไกลจากรถไฟฟ้า ควรเลือกบ้านในทำเลที่สามารถเข้าถึงทางด่วนได้ในระยะทางไม่ไกล มีขนส่งมวลชนเข้าถึง เพื่อสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก
2. การเลือกซื้อบ้านในทำเลที่เหมาะกับชาวต่างชาติหรือ Expat
ชาวต่างชาติหรือชาว Expat ส่วนใหญ่ เลือกที่จะซื้อคอนโดมากกว่าการเช่าบ้าน เนื่องจากคอนโดสามารถให้ชาวต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ครอบครองได้ อีกทั้งชาวต่างชาติหรือชาว Expat ส่วนใหญ่มักจะอาศัยอยู่ในทำเลที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน และอยู่ในแหล่งที่แวดล้อมไปด้วยเพื่อนบ้านที่มาจากประเทศเดียวกัน
โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในโซนสุขุมวิทและสีลม เช่น โซนนานา เป็นโซนของ Expat ชาวตะวันออกกลาง, โซนรัชดา -ห้วยขวาง เป็นโซนของ Expat และนักธุรกิจชาวจีน และโซนสุขุวิท อาทิ พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัย เป็นโซนของ Expat ชาวญี่ปุ่นและชาวเกาหลี เป็นต้น
ทำเลที่เหมาะกับ Expat คือตรงไหน สามารถดูได้จากไลฟ์สไตล์และร้านอาหารในทำเล หากพบร้านอาหารสัญชาติใดมากเป็นพิเศษ ก็สามารถอนุมานได้เลยว่าทำเลนั้นคือทำเลที่เหมาะกับ Expat ชาตินั้น ๆ
3. การเลือกซื้อบ้านในทำเลที่เหมาะกับนักเรียนและนักศึกษา
ปัจจุบันในทำเลรอบมหาวิทยาลัยมีอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบให้เลือกอยู่อาศัย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบคอนโด เนื่องจากมีราคาไม่แพง และสามารถขายต่อหรือปล่อยเช่าได้หลังจากนักเรียนและนักศึกษาจบการศึกษา
โดยการเลือกซื้อบ้านในทำเลที่เหมาะกับนักเรียนนักศึกษา ควรอยู่ในทำเลที่อยู่ในละแวกสถาบันการศึกษานั้น ๆ หรืออยู่ในทำเลที่สามารถเดินทางสะดวกด้วยขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถตู้ หรือรถไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนั้นการเลือกซื้อบ้านสำหรับนักเรียนและนักศึกษา ควรต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในที่อยู่อาศัย มีระบบรักษาความปลอดภัยครบครัน และมีการตรวจตราตลอดเวลา
ทั้งนี้ ปัจจุบันเริ่มเห็นพ่อแม่ ผู้ปกครองเตรียมมองหาบ้านที่ใกล้โรงเรียนของลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ไกลจากโรงเรียนชื่อดัง ที่สามารถขับรถไปถึงได้สะดวก และใช้เวลาไม่นาน
4. การเลือกซื้อบ้านในทำเลที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่
ว่ากันว่าคนรุ่นใหม่มีแนวคิดแบบ Work-Life Balance มากขึ้น ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านในทำเลที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก โดยเฉพาะทำเลในแนวรถไฟฟ้า
นอกจากนั้นภายในทำเลยังต้องเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านไลฟ์สไตล์ที่ครบครัน เพราะคนรุ่นใหม่มีกิจกรรมที่ชื่นชอบหลากหลาย มีงานอดิเรกหลายอย่าง และชื่นชอบที่จะใช้ชีวิตแบบไม่นิ่งเฉย ดังนั้นความครึกครื้นของทำเลจึงมีส่วนอย่างมากต่อการใช้ชีวิตและอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่
การเลือกซื้อบ้านให้เหมาะกับขนาดและสมาชิกภายในครอบครัว
รองมาจากเรื่องของทำเล การเลือกซื้อบ้านตามความเหมาะสมของสมาชิกภายในครอบครัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าเป็นการเลือกบ้านอย่างตามใจผู้อยู่อย่างแท้จริง ลองมาดูกันว่าการเลือกบ้านให้เหมาะกับสมาชิกแต่ละแบบมีอะไรบ้าง
1. การเลือกซื้อบ้านซึ่งเป็นบ้านสำหรับอยู่คนเดียว
สำหรับการเลือกบ้านสำหรับอยู่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องอยู่ในบ้าน-คอนโดที่มีขนาดใหญ่มาก สามารถอยู่อาศัยในคอนโดขนาดประมาณ 22 ตารางเมตรขึ้นไป ได้อย่างสบาย ๆ รวมถึงทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยวที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เนื่องจากสามารถทำความสะอาดได้สะดวกกว่า และมีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอสำหรับการอยู่อาศัยนั่นเอง
2. การเลือกซื้อบ้านซึ่งเป็นบ้านสำหรับครอบครัวใหญ่
สำหรับบ้านที่มีจำนวนสมาชิกภายในครอบครัวหลายคน แน่นอนว่าขนาดพื้นที่ใช้สอยในบ้านก็ควรขยับขึ้นให้เพียงพอกับการอยู่อาศัย การเลือกซื้อบ้านควรเลือกบ้านที่มีจำนวนห้องน้ำเพียงพอ ห้องนอนจำนวนเหมาะสม และมีพื้นที่จอดรถที่เหมาะสมกับจำนวนสมาชิกในบ้าน
คอนโดควรจะเป็นขนาด 2 ห้องนอนขึ้นไป เพื่อที่จะอยู่อาศัยได้อย่างไม่อึดอัด หากเป็นทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยว ควรมีห้องนอน 2-3 ห้อง และมีห้องน้ำมากกว่า 1 ห้อง แยกกันชั้นบนและชั้นล่าง เพื่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย รวมทั้งควรมีที่จอดรถมากกว่า 1 คัน จะได้สามารถจอดรถในบ้านได้ ไม่ต้องนำไปจอดด้านนอก หากมีรถยนต์มากกว่า 1 คัน
3. การเลือกซื้อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ
บ้านที่มีผู้สูงอายุ การเลือกซื้อบ้านควรเลือกบ้านชั้นเดียว หรือบ้านที่มีห้องเอนกประสงค์หรือห้องนอนชั้นล่าง ระยะเดินไม่ไกลจากห้องน้ำในชั้นล่างมากนัก เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถอยู่อาศัยได้โดยไม่ต้องเดินขึ้นลงชั้นสองของบ้าน
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดหกล้ม เนื่องจากพบว่าในแต่ละปี 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มักประสบปัญหาการหกล้ม และแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นด้วย ซึ่งบริเวณที่เกิดการหกล้มบ่อย ได้แก่ ห้องนอน ห้องน้ำ พื้นที่ขึ้นลงบันได และภูมิทัศน์รอบบ้าน การปรับพื้นที่สำคัญของบ้านจึงเป็นเรื่องสำคัญของบ้านผู้สูงอายุ
ที่ปรึกษาโครงการ: การเลือกซื้อบ้านให้เหมาะกับคุณ ต้องเลือกตามทำเลและขนาดครอบครัว อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://realestatebb.com/