โรคเรื้อรังหนึ่งที่สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูง คือ “โรคไตเรื้อรัง” ซึ่งเมื่อเป็นแล้วต้องรักษาตลอดชีวิต แต่เราสามารถเลี่ยงความทรมานนี้ได้ เพราะ นพ.ศานต์ ตรีวิทยาภูมิ อายุรศาสตร์ (อนุสาขาอายุรศาสตร์โรคไต) แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลพญาไท 3 บอกว่าโรคนี้ป้องกันได้
รู้จัก “ไต” อวัยวะที่ทำมากกว่าขับของเสีย
เราต่างทราบดีว่าหน้าที่หลักของไต คือการขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญโปรตีนออกจากร่างกาย ขับน้ำส่วนเกินเป็นปัสสาวะ ทั้งยังปรับสมดุลเกลือแร่ กรด ด่าง ในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ และที่หลายคนไม่ทราบคือ ไตยังทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนที่จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจาง และสร้างวิตามินควบคุมการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
“ไตเรื้อรัง” คืออะไร
ไตเรื้อรัง เป็นภาวะที่ไตเกิดความเสื่อมทีละน้อย จนการทำงานของไตลดลงมาก ต้องเข้ารับการรักษาด้วยการล้างไต หากการทำงานของไตมีความผิดปกติมากกว่า 3 เดือนจะเรียกว่าไตเรื้อรัง
หากแพทย์วินิจฉัยและระบุว่าเป็นโรคนี้ หมายความว่า ไตไม่สามารถกลับมาเป็นปกติและจะมีความเสื่อมมากขึ้น โดยระดับความเสื่อมจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนเสื่อมทีละน้อย บางคนเสื่อมอย่างรวดเร็ว ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของผู้ป่วยและการควบคุมโรคที่เป็นอยู่
อาการแบบนี้ เข้าข่าย “โรคไตเรื้อรัง”
เมื่อไตเสื่อม ไตก็ไม่สามารถขับของเสียได้ทำให้มีของเสียคั่งอยู่ในเลือด ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย ซึม และหากไตขับน้ำได้น้อย น้ำก็จะคั่งในร่างกาย มีอาการบวม ตัวบวม ขาบวม ตาบวม และถ้าไตทำงานน้อยลง สมดุลของเกลือแร่ในร่างกายจะเกิดความผิดปกติ อาจทำให้เกลือแร่บางชนิดสูงขึ้น เช่น โพแทสเซียม ซึ่งพบได้มากในผลไม้ เมื่อร่างกายไม่สามารถขับโพแทสเซียมได้ก็จะค้างในเลือด จนส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจหยุดเต้น เป็นต้น
โรคไตเรื้อรัง แบ่งเป็น 5 ระยะโดยใช้ระดับการทำงานของไตเป็นตัวแบ่ง ระยะแรกๆ การทำงานของไตจะปกติแล้วลดระดับลงเรื่อยๆ โดยจะไม่แสดงอาการจนถึงระยะที่ 4-5 ซึ่งโรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 นั้น ได้ทำงานได้น้อยลง 15% ขณะที่ระยะที่ 1-3 จะไม่มีอาการแสดง และไม่ทราบหากไม่ตรวจสุขภาพประจำปี ทั้งนี้ สัญญาณความผิดปกติที่เกิดขึ้น มีดังนี้
ปัสสาวะผิดปกติ เช่น สีผิดปกติ มีลักษณะเหมือนน้ำล้างเนื้อ หรือสีเข้มกว่าปกติ ปัสสาวะมีฟองมาก
ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ 3-4 ครั้งขึ้นไป
ปัสสาวะแสบขัด กะปริบกะปรอย
มีอาการปวดหลัง ปวดเอว อาจมีความผิดปกติบริเวณนิ่วในไต ไตอักเสบ
ความดันโลหิตสูงขึ้น
ใคร “เสี่ยง” โรคไตเรื้อรัง
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่เป็นนานกว่า 5 ปี
ผู้ที่ความดันโลหิตสูง อาจเป็นโรคไตและส่งผลให้ความดันโลหิตสูง หรือเป็นความดันโลหิตสูงและส่งผลให้เกิดไตวายเรื้อรัง
กลุ่มโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำในไต ที่ยังไม่มียารักษา ต้องควบคุมดูแลเพื่อชะลอความเสื่อมของไต
โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือโรคเอสแอลอี (Systemic lupus erythematosus: SLE) ที่เกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะในร่างกาย โดยอวัยวะที่โรคนี้ไปทำลายคือไต ทำให้ไตอักเสบและไตวายในที่สุด
โรคเกาต์ หรือระดับกรดยูริกในเลือดสูง ซึ่งการที่กรดสูง ทำให้มีการตกตะกอนที่ทางเดินปัสสาวะ เกิดปัญหานิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือตกตะกอนที่เนื้อไต
การรับสารหรือยาบางชนิด ส่งผลให้ไตเสื่อมหรือไตวาย เช่น ยาต้านการอักเสบ ที่มักกินเพื่อลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดข้อ ปวดเข่า เป็นต้น
รักษาอย่างไร เมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง
แนวทางการรักษาจะเน้นที่การชะลอความเสื่อมของไตเป็นหลัก โดยจะรักษาโรคที่เป็นสาเหตุที่นำมาสู่โรคไตเรื้อรังให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับเหมาะสม ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด โดยต้องกินอาหารโปรตีนต่ำ low protein diet
ทั้งนี้ โรคไตเรื้อรังสามารถป้องกันได้ โดยการตรวจสุขภาพเพื่อหาโรคต่างๆ อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน เกาต์ เพื่อวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือหากพบโรคก็ควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อคุมอาการให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
โรคไตเรื้อรัง... ความผิดปกติที่ป้องกันได้ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/disease-conditions/298